วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สอนศิลปะที่หอศิลป์ 53-Sheet-6



ตัวต่อไปใช้วงกลมสองวงเหมือนกัน
แต่จะกลายเป็นสัตว์ปีก วาดง่ายมาก
เด็กๆทำตาม ก็จะได้นกมาง่ายๆเลย

สอนศิลปะที่หอศิลป์ 53-Sheet-5

ตอนนี้ก็เป็นสัตว์ใกล้ตัวอีกชนิดหนึ่ง
บางคนรักสัตว์เลี้ยงชนิดนี้มาก เพราะมันชอบคลอเคลีย
คนเราชอบการคลอเคลีย เพราะอบอุ่นดี
สำหรับตัวนี้เคยสอนไปครั้งหนึ่งแล้วในบล็อกนี้

สอนศิลปะที่หอศิลป์ 53-Sheet-5

ตอนนี้เราจะมาเริ่มวาดรูปสัตว์อย่างง่ายๆ
เริ่มจากสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวก่อนนะ

สอนศิลปะที่หอศิลป์ 53-Sheet-4

บทที่ 4 เป็นการวาดการแสดงอารมณ์ของตัวการ์ตูน
ใช้ได้กับการ์ตูนทุกแบบ
จำแบบพื้นฐานไว้ก่อน ต่อไปจะสอนแบบที่หลากหลายขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สอนศิลปะที่หอศิลป์ 53-Sheet-3

เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของท่าทางเหมือนเดิม
แต่เป็นด้านข้างบ้าง เด็กๆถ้าเข้าใจการหันข้าง
จะเข้าใจภาพใน sheet ได้ จากนั้นสังเกตท่าทางของมัน

สอนศิลปะที่หอศิลป์ 53-Sheet-2

บทที่สอง ต้องการให้วาดท่าทางต่างๆเป็น
การทำก็ง่ายมาก ถ้าทำ sheet แรกได้
ก็มาจัดการกับแขน-ขา ที่ตัวไม่ต้องทำอะไรมาก

สอนศิลปะที่หอศิลป์ 53-Sheet-1

เริ่ม Sheet ต่างๆด้วยการหัดวาดวงกลม (เกือบทุก Sheet) จากนั้นจึงค่อยดัดแปลงเป็นตัวอื่นๆ
หัดวาดคนเป็นอันดับแรก เพราะ ทุกคนชอบวาดตัวเอง หรือคนที่อยู่ใกล้ตัวก่อนที่จะไปสนใจเรื่องอื่น

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 9 พระเจ้าจัดงานเลี้ยง





พระเจ้าทรงดำริว่า จะทรงหยุดพักการปั้นแป้งของพระองค์แล้ว เพราะพระองค์ไม่นึกสนุกอีกต่อไป ดังนั้นพระองค์ทรงอยากจัดงานเลี้ยงฉลองแป้งทุกตัวที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น จึงทรงให้ข้าราชบริพาร ตามไปที่ดาวดวงต่างๆ เพื่อเรียกแป้งทุกตัวกลับมาเล้ยงแลอง

หลังจากที่มากันพร้อมหน้าแล้ว พระองค์ทรงขอบพระทัยแป้งทุกตัว ที่สร้างความสำราญให้กับพระองค์ จากนั้นได้ทรงให้ข้าราชบริพาร นำอาหารอย่างดี มาเลี้ยงฉลองทุกคน อาหารประกอบด้วย ซุปข้นหม้อใหญ่ ไก่ย่างตัวใหญ่ สลัด ปลาทอด มันฝรั่งทอด พิซซ่า ขนมเค็ก ขนมเยลลี่ยักษ์รูปปลา อาหารทะเล และเครื่องดื่มน้ำพั้นช์อย่างดี ทุกคนรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย

แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อเจ้ายีราฟเกิดอาการแพ้อาหารทะเล และ ช้างแพ้มันฝรั่ง ทั้งสองตัวมีอาการคัน และตัวบวม เกิดความทรมานมาก ลุกขึ้นเดินเหยียบโน่น เหยียบนี่ หาทางบรรเทาอาการคัน ยีราฟเอาขาถูกับเก้าอี้ ช้างเอาตัวลงไปแช่น้ำพั้นช์ แป้งทุกตัวโดนน้ำพันช์เปียกกันหมด เนื่องจากว่าพวกมันเป็นแป้ง จึงมีบางตััวที่ละลายเละเหลว

พระเจ้าทรงกลุ้มพระทัยมาก จึงทรงนำแป้งทั้งหมดมาผสมรวมกัน แล้วปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะที่โตใหญ่มาก จากนั้นพระองค์ทรงนำมันไปอบ และตั้งไว้เพื่่อเป็นอนุสรณ์ให้คิดถึงแป้งทุกตัวที่พระองค์ทรงปั้น และสนุกกับมันมา ..แล้ว 9 วันกับ 9 ดวงดาวของพระองค์ก็จบเพียงเท่านี้
สวัสดีค่ะ แล้วพบกันปีหน้าที่หอศิลป์เจ้าฟ้านะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 8 ตึกกับต้นไม้


ความคิดของพระเจ้า ชักจะก้าวหน้าไปใหญ่ ทีนี้พระองค์ไม่ขอทรงปั้นแป้งเป็นอะไรที่กลมๆอีกต่อไป ทรงปั้นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกล่องนม บางทีก็มีหลังคา บางทีก็คลึงแป้งเป็นรูปทรงกระบอกยาวๆ ทรงเอามาตั้งดูเล่น มันก็ล้มไปมาไม่เป็นท่า จากนั้นพระองค์ทรงโยนสิ่งเหล่านี้ไปยังดาวดวงที่ 8 แล้วไม่ทรงสนพระทัยมันอีกเลย เหล่าเทวดา นางฟ้ากลับเกิดความสงสัยใคร่รู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับดาวดวงที่ 8 จึงยกแว่นขยายวิเศษขึ้นมาแบ่งกันส่องดู

เมื่อมองไปก็ต้องประหลาดใจ ที่สิ่งต่างๆที่พระองค์โยนลงไปนั้นกลับมีชีวิตขึ้นมา พวกมันกำลังเดินไปมาเพื่อเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆบนดาวดวงนั้น แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่ละตัวพากันหักออกเป็นท่อนๆ หล่นลงมาบนพื้นดิน เนื่องจากพวกมันไม่มีมือ พวกมันจึงได้แต่มองชิ้นส่วนที่หักลง แม้จะเห็นแล้วว่า อันไหนเป็นของใคร แต่ก็ไม่สามารถนำมาต่อกันได้ ชิ้นส่วนต่างๆก็กองกันอยู่อย่างนั้น

ต้นไม้แถวๆนั้นพูดว่า "ให้ฉันช่วยพวกเธอไหมละ" "ดีซิ ดีจัง ช่วยเลยช่วยเลย" แล้วต้นไม้ก็ทำการต่อตึกต่างๆกลับเข้าที่ แต่ว่ามันนำมาต่อผิดฝาผิดตัวหมดเลย เหล่าตึกโวยวายขึ้น "ทำไมเธอทำแบบนี้ ผิดหมดเลย" ตันไม้พูดแก้ตัวว่า "ขอโทษนะ ฉันไม่่ทันเห็นตอนที่พวกเธอยังไม่หัก เลยจำไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร" จากนั้นก็เกิดการทะเลาะกันยกใหญ่ พวกของต้นไม้ก็พากันกรูเข้ามาต่อว่าตึก ว่า ไม่รู้จักบุญคุณ ในที่สุดก็แบ่งเป็นสองฝ่าย ไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศขณะนั้นเคร่งเครียด และไม่มีใครมีความสุข

แต่แล้วไม่นาน เกิดน้ำท่วมใหญ่พัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างกระจายตัวออกจากกันไปคนละทิศคนละทาง เมื่อน้ำแห้งลง ชิ้นส่วนต่างๆของตึกและต้นไม้ แยกกันอยู่ห่างกันมาก กินบริเวณกว้างขวาง พวกมันต่างรู้สึกแย่มากที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะทะเลาะกันเลย จะพูดคุยกันธรรมดายังเหมือนอยู่ห่างกันเต็มที แม้จะตะโกนก็ยังยากที่จะได้ยินกัน พวกตึกต่างคิดว่าขอเป็นตึกที่มีแต่ละท่อนไม่เหมือนกัน ยังดีกว่าต้องมาอยู่เป็นท่อนๆโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้จะไม่ทะเลาะกันอีก

ไม่ช้ามีพายุใหญ่พัดโหมมา ทีนี้ทั้งต้นไม้ทั้งตึกพากันปลิวไปตามแรงลม สุดท้ายต้นไม้ไปยืนบนตึกก็มี ชิ้นส่วนของตึกไปอยู่บนต้นไม้ก็มี ผสมปนเปจนเป็นภาพที่ประหลาดที่สุด

เมื่อแต่ละตัวได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ก็ไม่มีใครถือตัวว่านี่คือตัวฉัน นี่คือตัวเธออีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่าการอยู่ตัวเดียวเป็นอะไรที่ทรมานมาก ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเสมือนเป็นคนสนิทกัน ในตอนแรกเหล่านก กระรอก และแมลงที่เคยอาศัยบนต้นไม้ต่างๆเป็นที่อยู่ที่กิน ต่างไม่กล้าเข้ามาเกาะกิ่งไม้เหมือนอย่างเคย แต่พอนานเข้า พวกมันก็ค่อยๆชิน และพากันมาอาศัยต้นไม้อยู่อย่างเดิม และยังพบว่าพวกมันมีความสุขยิ่งกว่าเก่า เพราะบ้านใหม่ของมันมีส่วนที่เป็นตึกด้วย ทำให้พวกมัน มีห้องหับสำหรับทำกิจกรรมต่างๆเพิ่มขึ้น บางทีก็มีบันไดสำหรับขึ้นลงให้ออกกำลังกาย และมีระเบียงให้ไล่จับกันเล่นด้วย สัตว์ต่างๆได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น พวกมันชอบบ้านใหม่ของพวกมันมาก

เหล่าเทวดานางฟ้าที่แอบดูอยู่ก็อดปลื้มใจในความรักและความสมัครสมานของทุกตัวไม่ได้ หนำซ้ายังได้เห็นเมืองที่มีความพิสดารและสวยงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เทวดาน้้อยองค์หนึ่งละสายตามาจากแว่นวิเศษ พบว่าพระเจ้าอยู่ข้างหลังกำลังแอบย่องออกจากห้อง พระหัตถ์หนึ่งทรงถือขันน้ำ อีกพระหัตถ์หนึ่งทรงถือไดร์เป่าผม ชวนให้สงสัยเป็นอย่างยิ่ง

(ผลงานของเด็กๆจากนิทานเรื่องนี้)



วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 7 เล็กสลับใหญ่


หลังจากผิดพลาดอย่างแรงกับการปั้นดาวดวงที่ 6 พระเจ้าจึงทรงดำริว่า ดาวดวงที่ 7 จะต้องปั้นตัวละครที่ละเอีียดประณีตที่สุด ลองปั้นของจิ๋วๆดูบ้างดีกว่า แม้ว่าพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์จะใหญ่มาก แต่ทรงปั้นสัตว์ตัวเล็กได้ยอดเยี่ยม พระองค์ทรงปั้นอะไรนั้น คนเล่าก็มองไม่ค่อยเห็นเพราะเป็นของจิ๋ว จากนั้นทรงโยนไปที่ดาวดวงที่ 7 ทรงทอดพระเนตรเห็นเศษขนมปังเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ ก็ทรงกวาดด้วยพระหัตถ์โปรยลงไปที่ดาวดวงที่ 7 ทั้งหมด

ทรงหาแว่นขยายคู่พระทัยมาส่องดู แต่ไม่ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไรเลย ต้องทรงดำรัสสั่งให้ช่างกระจกทำแว่นขยายอันใหม่ที่ขยายได้มากกว่าเก่าอีก 10 เท่า พระองค์รอถึง 3 วันกว่าจะได้แว่นมา เมื่อทรงยกขึ้นส่องดู ปรากกฏว่าสัตว์ตัวเล็กๆที่พระองค์ทรงปั้นนั้น มีรูปร่างหน้าตาประหลาดมาก ทุกตัวไม่มีขา เพราะปั้นยาก จึงไม่ทรงปั้น ทุกตัวต่างใช้วิธีกระเดิ๊บเข้าหากัน พูดคุยไปมา บางตัวก็อ้วนกลม
บางตัวก็ผอมเพรียว บางตัวมีงวง บางตัวมีหาง แต่ทุกตัวรู้สึกว่าไม่มีความสะดวกในการเดินทางเอาซะเลย พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงเนรมิตบ่อขึ้นมา สามบ่อ บ่อที่หนึ่ง บ่อแห่งขา บ่อที่สอง บ่อเแ่ห่งปีก และบ่อที่สี่ บ่อแห่งสีสัน ทรงบัญชาว่า "เจ้าทั้งหลาย ใครอยากได้ปีกไว้บิน หรือขาไว้เดิน ก็จงกระโจนลงไปในบ่อที่จัดไว้ให้ มีข้อแม้ว่า ทุกตัวต้องไม่เอาขากับปีกไปใช้มากเกินไป เพราะมีชิ้นส่วนจำกัด ส่วนอีกบ่อหนึ่งนั้นมีไว้สำหรับตกแต่งร่างกายให้สวยงาม (พระเจ้าเนรมิตบ่อนี้ขึ้นมา เพราะพระองคืทรงขี้เกียจระบายสีเอง) บ่อสุดท้ายไม่สามารถเลือกสีได้ ใครลงไปชุบตัวได้สีอะไรมาก็ต้องยอมรับในสีและลวดลายที่ตัวได้ ไม่มีการอุทธรณ์

จากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น แต่ละตัวไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครเข้าแถว เพราะกลัวว่าของหมด แล้วตัวเองจะไม่สะดวก ตรงเข้าเบียดเสียดยัดเยียด แย่งชิงกันอย่างอุตลุต ไม่นานความวุ่นวายก็สงบลง เพราะของหมด เมื่อพระเจ้าส่องดูสัตว์แต่ละตัว อดที่จะทรงขำไม่ได้ ช่างมีสารพัดสารพันอย่างที่นึกไม่ถึงเลยทีเดียว อะ มีบางตัวไม่มีปีก ไม่มีขา ไม่มีสีด้วย โธ่ช่างน่าสงสารแท้ๆ คงจะแย่งชิงกับเขาไม่ไหวเป็นแน่ เมื่อทุกตัวสัญจรเดินทางกันได้แล้ว ก็พากันเดิน หรือบินหายเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว พระเจ้าส่องดูอีกที ไม่ทรงพบใครเลย แหมไอ้พวกนี้นี่ แบบนี้เราจะมีอะไรสนุกสนุกดูละ อ๋อ คิดออกแล้ว เราจะโปรยละอองฝนแห่งการขยายขนาดให้ดาวดวงนี้ไปเลยดีกว่า คิดได้ดังนั้นแล้วพระองค์ทรงปฏิบัติการทันที

หลังจากฝนสงบลง สัตว์ทุกตัวมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก เดินไปไหนมาไหนก็ชนกัน มันดูเหมือนเหล่าแมลงยักษ์ไม่มีผิด เมื่อชนกันแต่ละที มันก็หงายท้อง แล้วยังคงอยู่ท่านั้นเป็นเวลานานไม่ว่าจะโยกเยกไปมายังไงก็ไม่สามารถกลับตัวได้ เป็นที่น่าขบขันต่อพระเจ้าอย่างยิ่ง พระเจ้าทรงดำริว่า เจ้าสัตว์พวกนี้มีสีสันแปลกตา รูปร่างก็ประหลาด แถมโลภมากมีขาตั้งหลายขา บางต้วบินได้ด้วยนะ ต่อไปในกาลข้างหน้า สัตว์เหล่านี้คงจะสูญพันธุ์ยากเป็นแน่ เราจะให้ชื่อพวกมันว่า "แมลง"

เอะ นั่นอะไรเล็กๆเดินยั้วเยี้ยอยู่ใต้ขาของแมลงเหล่านี้นะ เมื่อทรงส่องแว่นดูดีๆ ก็เห็นว่ามันคืีอเศษขนมปังที่พระองค์ทรงโปรยมาทีหลังนั่นเอง มันโดนฝนขยายตัวด้วย แต่ก็ไม่ใหญ่โตเท่าแมลงพวกนั้น ดูดีีๆ แต่ละตัวก็มีรูปร่างเหมือน แมว หมา นก หมี ช้าง และสัตว์ตัวอื่นๆที่เราเคยปั้นมาแล้ว แต่มันไม่มีสี มีแต่สีขาวๆเหมือนแป้งขนมปังเท่านั้นเอง ต่อไปจะอยู่กันยังไงล่ะ เดี๋ยวก็โดนพวกแมลงเหยียบตายกันเท่านั้นเอง ไว้ค่อยดูกันต่อไปนะ วันนี้พระเจ้าขอไปนอนก่อนดีกว่า สนุกมามากพอแล้ว

(ผลงานของเด็กจากนิทานเีรื่องนี้)




<" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5466227440400455698" />

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 6 พวกยาว


พระเจ้าทรงดำริว่า พระองค์ทรงปั้นแต่แป้งที่เป็นรูปกลมๆมาตลอด น่าจะปั้นอะไรที่เป็นรูปยาวๆบ้าง สำหรับดาวดวงที่ 6 นี้ เราจะปั้นสามตัว ตัวแรกก็ก้อนกลมๆสองก้อนติดกันเหมือนเดิม แต่มีจมูกยาวๆเลย เอาหูใหญ่ๆด้วย ขาก็เหมือนเดิมไปก็แล้วกัน แค่คิดก็สนุกแล้ว ตัวต่อไปนะ เอาหัวกับตัวแยกกัน ต่อคอให้ยาวๆ หางก็ยาวๆแหลมๆด้วย ขายังคิดไม่ออกเอาเหมือนเดิมไปก็แล้วกัน ใช่แล้ว อีกตัวเราจะให้ทั้งคอยาว ขายาวเลยดูซิว่าจะเก้งก้างขนาดไหน ปั้นไปก็ทรงขำไป เอ้าตัวนี้หางไม่ต้องสั้น เดี๋ยวจะทรมานมากเกินไป ปั้นเสร็จ พระองค์ก็ทรงโยนไปด้วยคาถาไปตกที่ดาวดวงที่ 6 รอสักครู่หนึ่งพระองค์จึงหยิบแว่นคู่ใจมาส่องดู

ที่ดาวดวงนั้น เด็กชายปิงปองของเราเล่นที่ดาวดวงที่ 5 เพลิดเพลินไปหน่อย เดินหลงทางมายังดาวดวงที่ 6 แถมยังพลัดตกลงไปในหลุมใหญ่ลึก ไม่สามารถขึ้นมาได้ ปิงปองที่น่าสงสาร ร้องของความช่วยเหลืออยู่นาน เจ้าตุ๊กตาแป้งสามตัวของเราก็โผล่มาพอดีจึงตรงเข้าช่วยเหลือ แต่ตัวที่จมูกยาวไม่สามารถยื่นจมูกลงไปเกี่ยวปิงปองขึ้นมาได้ ตัวคอยาวทั้งสองจึงลองยื่นคอลงไปอย่างสุดความสามารถ ตัวคอยาวขาสั้น มีคอที่ยาวมาก ตัวที่ขายาวกว่ายังไปไม่ถึงปิงปอง ในที่สุดตัวที่คอยาวกว่า ก็สามารถดึงปิงปองขึ้นมาได้ ทั้งสามเป็นเพื่อนที่ดีจากนั้นมา

ปิงปองยังคงอยากหาทางกลับบ้านอยู่ ท้องก็ร้อง รู้สึกว่าหิวแล้ว ไม่ทันรู้ตัว เจ้าคอยาวกว่าเพื่อนก็เอากล้วยทั้งเครือมาให้ ปิงปองรู้จักกล้วยดี จึงดึงแต่ลูกสีเหลืองออกมากิน เจ้าคอยาวกว่ากินแต่ลูกสีเขียว จนตัวกลายเป็นสีเขียว ส่วนเจ้าขายาวชอบกินลูกสีเหลือง ทั้งลูกที่มีด่างดำๆมันก็ไม่รังเกียจ ตัวมันจึงกลายเป็นสีเหลืองลายดำ ส่วนเจ้าหูใหญ่กินไม่ทัน กล้วยหมดซะก่อน จึงเดินไปหักต้นอ้อยกิน จนกระทั่งตัวกลายเป็นสีน้ำตาล ปิงปองให้ชื่อว่า กรีน เยลโล่ และบราวน์

เดินทางไปเรื่อยๆ จนเริ่มมืด ปิงปองรู้สึกง่วงมาก ไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหนดี เจ้าเยลโล่เลยอาสาที่จะทำตัวเป็นเสาเต้นท์ให้ จากนั้นเจ้าบราวน์ก็ไปดึงเถาวัลย์มาพาดตัวเจ้าเยลโล่กลายเป็นม่าน ปิงปองเข้าไปนอนอย่างมีความสุข แต่เอะ เจ้ากรีนหายไปไหนน้า คงจะไปหาที่นอนเหมาะๆละมั้ง คิดดังนั้นแล้ว ต่างคนต่างนอน เยลโล่ไม่กลัวนอนยากเพราะเอาคอพาดไว้กับกิ่งไม้ ส่วนเจ้าบราวน์แผ่หลาบนพื้นอย่างเป็นสุข

ตื่นเช้าขึ้นมาทุกตัวพากันไปเล่นน้ำ บราวน์พ่นละอองน้ำใส่ปิงปองอย่างสนุกสนาน ไม่นานเจ้ากรีนก็โผล่มา มันไม่ลงอาบน้ำเหมือนคนอื่นๆ มันเล่าว่า "เมื่อคืนนี้ ฉันเดินไปเจอทะเลสาบแห่งหนึ่งสวยงามมาก ฉันจึงลงเล่นในทะเลสาบนั้น รู้สึกสดชื่นมากเป็นพิเศษ นานๆทีก็จะมีดอกไม้สีขาวโผล่ขึ้นมาจากกลางทะเลสาบ เมื่อลองดมดู มันมีกลิ่นหอมมาก แต่เมื่อฉันจับมัน มันทำให้ฉันสลบ และรู้สึกเหมือนได้ล่องลอยไปไกลแสนไกล พบสถานที่ที่มีเมฆมากมาย มีคนแต่งตัวสวย และ มีท่านผู้เฒ่าทรงภูมิด้วย

เมื่อปิงปองฟังแล้ว ก็รู้ได้ในทันทีว่าที่นั่นคือบ้านของปิงปอง จึงขอให้กรีนพาเขาไป ขณะที่ทุกตัวกำลังเดินทางไปอยู่นั้น พลันพื้นดินที่ตามมาก็ค่อยๆยุบตัวลง กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าพื้นดินทั้งหมดกำลังยุบพังลงเข้าหาศูนย์กลาง ทุกคนฉวยจับอวัยวะของแต่ละคน กลายเป็นว่า ปิงปองห้อยอยู่ปลายสุด โดยยึดจมูกของบราวน์ไว้ เยลโล่งับหางของบราวน์ด้วยปาก กรีนงับหางเยลโล่อีกที หางของกรีนนั้นเกี่ยวต้นไม้บนดินต้นหนึ่งอยู่ มันเป็นต้นที่สูงยาวมาก สุดท้ายปิงปองจับจมูกบราวน์ไม่ไหว มือลื่นหลุด แต่เดชะบุญที่ดอกไม้สีขาวลอยมาจากไหนไม่รู้ ด้วยปฏิภาณการเอาตัวรอด ปิงปองจึงจับดอกไม้สีขาวดอกนั้นไว้ สุดท้ายเขาได้กลับมายังสรวงสวรรค์ของเขาตามเดิม ส่วนตัวอื่นๆก็สุดที่จะคาดเดาว่าเป็นเช่นไร

พระเจ้าอยู่ที่สวรรค์ร้อง "อุ๊บ แป้งปั้นดาวดวงนี้มันแห้งไปหน่อยนะ ถล่มบ่อยจัง ดีนะที่เราโยนดอกไม้ไปช่วยเจ้าปิงปองได้ทัน"

(ผลงานเด็ก๐จากนิทานเรื่องนี้)


วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 5 เจ้าตัวกลมหลากสี



หลังจากที่พระเจ้าทรงเซ็งกับวันที่ 4 พระองค์ก็ไม่นึกอยากทำอะำไรสนุกๆไปอีกหลายวัน วันหนึ่งพระธิดาของพระองค์ซึ่งยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆได้ทรงมาเข้าเฝ้า ทูลถามพระองค์ว่า " เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันอยากหาของขวัญให้กับเพื่อนของหม่อมฉัน เราเรียนอยู่ห้องเดียวกัน พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดครบ 9 ขวบของเขา แต่หม่อมชั้นไม่ทราบจะให้อะไรเขาดี เพราะว่าเขามีทุกอย่างแล้วเพคะ เสด็จพ่อช่วยหาให้หม่อมฉันหน่อยเพคะ"

ทันทีที่พระเจ้าทรงรับฟังเสร็จ พระองค์ทรงมีความคิดใหม่ๆขึ้นมาทันที "ตอนเย็นหนูมาฟังคำตอบนะ พ่อจะพยายามหาให้" จากนั้น พระองค์ทรงเข้าไปในห้องทำงาน จัดแจงเอากล่องทรงกลม ออกมา 5 ใบ ทรงบรรจงทาสีกล่องทั้ง 5 ให้แตกต่างกัน จากนั้นทรงเปิดฝากล่องออก แล้วทรงใส่แป้งปั้นเป็นหัวและตัวพร้อมทั้งขาสี่ขา โดยไม่มีการตกแต่งใดๆใส่ลงในกล่องทั้ง 5 นั้น

พอตกเย็น พระธิดาเสด็จมาถึงห้องพระบิดา ทรงถามว่า "ไหนล่ะเพคะ ของขวัญ" พระองค์ตรัสตอบว่า "เจ้าเห็นกล่อง 5 ใบนั้นไหม" "เห็นเพคะ"พระธิดาตรัสตอบ "ให้เจ้านำกล่องทั้ง 5 ไปตั้งที่ดาวดวงที่ 5 ของพระบิดา แล้วชวนเพื่อนของเจ้าไปเปิดกล่องทั้ง 5 ที่นั่น แล้วเพื่อนของเจ้าจะต้องแปลกใจ"

วันต่อมาซึ่งเป็นวันเกิดของเพื่อนพระธิดา เขามีรูปร่างอ้วนกลม เขาชื่อว่า"ปิงปอง" พระธิดาได้นำกล่องไปวางยังดาวดวงที่ 5 ก่อนหน้านั้นแล้ว พระองค์ทรงชวนปิงปองไปเที่ยวเล่นในดาวดวงที่ 5 เมื่อถึงที่นั่นกล่องทั้ง 5 ได้รออยู่แล้ว มันมีสีดังนี้ ใบที่ 1 สีชมพู ใบที่ 2 สีน้ำตาล ใบที่ 3 สีเทา ใบที่ 4 สีม่วง ใบที่ 5 เป็นขาวสลับดำ พระธิดาทรงพูดว่า "ในกล่องเหล่านี้มีของขวัญสำหรับเธอ เธอเลือกเปิดดูซิจ๊ะ" ปิงปองไม่ชอบสีชมพูกับสีขาวดำ เขาจึงเลือกเปิดสีน้ำตาลออกมาก่อน แล้วเขาก็แปลกใจที่ เขาเห็นหมีน้อยน่ารักอยู่ในกล่องนั้น มันพูดว่า "น้ำผึ้ง น้ำผึ้ง หม่ำๆ" พระธิดาทรงเตรียมน้ำผึ้งไว้แล้ว จึงทรงหยดเข้าปากมัน จากนั้นตุ๊กตาหมีก็แปลงร่างเป็นเครื่องบินรูปผึ้งที่สวยงามมาก "ฉันชอบจังเลย มันสามารถกระพริบไฟสลับสีได้ด้วย"

แล้วปิงปองก็เลือกเปิดกล่องสีม่วงต่อ ข้างในเป็นตุ๊กตาฮิปโปกำลังอ้าปากกว้างอยู่ ร้องว่า "หญ้า หญ้า หม่ำๆ" พระธิดาเอาหญ้าใส่ปากมัน แล้วมันก็แปลงร่างเป็นอ่างอาบทรงกลมน้ำสีม่วงที่มีฝักบัวอยู่ในตัว ถ้าก้าวลงไป ฝักบัวจะปล่อยน้ำเป็นละอองละเอียดสดชื่นให้ในทันที และเมื่อก้าวออกมามันจะหยุดปล่อยน้ำ แต่จะให้ลมเย็นที่ช่วยให้ตัวแห้งสบาย หนูปิงปองชอบใจมาก จึงรีบเปิดกล่องสีเทาที่แสนจะไม่น่าดูออกมา ข้างในเป็นตุ๊กตารูปแรด มีนอแหลมสองนอ มันร้องว่า "หญ้า หญ้า หญ้า"เหมือนกล่องเมื่อกี้ไม่มีผิด เมื่อพระธิดาเอาหญ้าใส่ปากมัน มันก็คายออกมา และพูดว่า "แห้ง แห้ง แห้ง หม่ำๆ" พระธิดาจึงเอาหญ้าแห้งใส่ปากมัน แล้วมันก็แปลงกายเป็นกระบะทราย ที่ดูจะแห้งแล้งเหมือนตัวมัน แต่เมื่อปิงปองลงไปขุดดู เขาก็พบว่า มีเปลือกหอยสวยๆซ่อนอยู่ในนั้นมากมาย ขุดไม่มีวันหมด และไม่มีเปลือกไหนซ้ำกันเลย เขาชอบใจมาก

เขาเอาเครื่องบินถือไว้ วิ่งร่อนไปมาจนเหนื่อย แล้วลงอ่างอาบน้ำ จากนั้นก็ขุดกระบะทรายเล่น จนลืมกล่องอีกสองกล่องนั้นไปเลย ไม่นำพาเมื่อพระธิดาพูดว่า "เธอ เธอยังมีของขวัญอีกสองกล่องยังไม่เปิดนะ" ปิงปองตอบไปว่า "แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว ไม่ต้องการอะไรอีก ฉันขอบใจเธอมากที่ให้ของขวัญถูกใจฉันที่สุด อีกสองกล่องนั้น ฉันยกให้เธอ" พระธิดาดีพระทัยมากรีบกลับบ้านเอาของไปอวดพระบิดา

เมื่อถึงปราสาท พระธิดารีบเปิดกล่องสีชมพูออกต่อหน้าพระบิดา ข้างในเป็นตุ๊กตาหมูน้อยตัวเล็กๆสีชมพูผูกคอด้วยโบว์สีแดงสวยงามมาก "ทำไมมันไม่ร้องล่ะเพคะ" พระเจ้าทรงแย้มสรวลแล้วทรงบอกให้พระธิดาเปิดอีกกล่องออกดู กล่องสีขาวดำเมื่อเปิดออกมา ก็พบตุ๊กตาหมีแพนด้าที่น่ารักทีี่สุดในโลก พระธิดาหลงรักมันทั้งสองมาก แต่ก็ไม่ร้องเหมือนกันทั้งคู่ พระธิดาทรงสงสัยมาก จึงถามพระบิดาเป็นครั้งที่สองว่าทำไมเป็นเช่นนั้น

พระบิดาจำต้องพูดความจริง "พ่อน่ะ ตั้งคาถาไว้ให้เฉพาะปิงปองเท่านั้นที่เปิดกล่องออกแล้วตุ๊กตาจะมีเสียงร้อง ส่วนที่มันสามารถแปลงกายเป็นของเล่นได้นั้น เพราะมันอยู่ในโลกของดาวดวงที่ 5 ซึ่งเป็นดาวที่ของไม่มีชีวิตหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นของไม่มีชีวิตอีกอันหนึ่งที่ถูกใจคนที่แตะต้องมัน ดังนั้น ถ้าหนูต้องการรู้ว่ามันเป็นอะไร หนูต้องพาปิงปองไปที่ดาวดวงนั้น เพื่อดูว่ามันจะเปลี่ยนเป็นอะไร แต่พระธิดาทรงรักตุ๊กตาหมูและหมีแพนด้ามาก จึงทรงดำริที่จะไม่ไปดาวดวงนั้นเพื่อเปลี่ยนมันเป็นอะไรอีก ทรงพอพระทัยอยู่แล้ว เพราะทรงเล่นกับตุ๊กตาทั้งสองตัวได้ไม่รู้เบื่อเลย และเรื่องของดาวดวงที่ 5 ก็จบเพียงเท่านี้

(ผลงานของเด็กๆจากนิทานเรื่องนี้)



วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 4 หมา แมว นก



พระเจ้าไม่ทรงรู้สึกเบื่อกับการหาเรื่องสนุกๆใส่ตัว หรือน่าจะพูดว่าใส่ดวงดาวต่างหาก วันนี้เป็นวันที่สี่แล้ว หลังจากทรงตื่นจากบรรทม ก็เรียกหาเหล่าคนรับใช้ แต่ทว่าไม่มีใครปรากฏตัวเลย ทรงเรียกอยู่นานกว่าจะรู้สึกพระองค์ว่า เพราะพระองค์ตื่นสายทำให้ไม่มีใครรอไหว จึงหันไปทำงานอื่นกันหมด "ไม่ง้อก็ได้" พระองค์ทรงคิด เราปั้นแป้งมาเป็นตัวรับใช้เราสักตัว

จึงปั้นเป็นตัวสี่ขาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีหูแหลมยาวปรกลงมาเล็กน้อย มีหางด้วย "เออ ไอ้ตัวนี้มันน่ารักดี เราเรียกมันว่า หมา ก็แล้วกัน"มันเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาทันที ฉลาด และมีเสียงดังมาก "เจ้าไปตามพวกคนรับใช้ข้ามาทีซิ" ได้ยินคำสั่งมันรีบวิ่งออกไป ส่งเสียงดัง"โฮ่ง โฮ่ง" หาไปทั่วทั้งสวรรค์ ไม่พบใคร สุดท้ายพบนายประตูหูตึง ถามยังไงก็ตอบไม่ตรงคำถาม จึงต้องเน้นย้ำเป็นคำๆ ทำให้หมาตัวนี้เกิดอาการที่เรียกว่า "เห่า" นายประตูตอบว่า "ลองไปหาที่ดาวดวงที่สี่ ที่อยู่สุดทางขาวๆนี่ เราเรียกทางนี้ว่าทางช้างเผือก พวกเขาอาจจะไปอยู่กันที่นั่น เพื่อชื่นชมดาวดวงใหม่ ปรากฏว่าหมาของเรา วิ่งไปจนถึงดาวนั้น เหนื่อยจนลิ้นห้อย กลายเป็นอาการประจำตัวไป ไปถึงก็ไม่พบใคร ก็เลยไม่คิดอยากกลับ คิดว่าต้องหาใครให้เจอ ไม่งั้นไม่กล้ากลับไปหาพระเจ้าอีก

ฝ่ายพระเจ้า เมื่อรอนานไม่เห็นว่าหมาจะกลับมา จึงปั้นสัตว์ขึ้นมาอีกตัว มีรูปร่างคล้ายกันแต่ตัวเล็กกว่า เพื่อให้ปราดเปรียวคล่องแคล่ว หูนั้นสั้นกว่า แต่มีหางยาว และมีอุ้งเท้าเบา "ไปตามเจ้าหมากลับมาหาข้าหน่อยนะ เราเรียกเจ้าว่าแมวก็แล้วกัน ไป ไปเลย" แล้วแมวก็กระโจนออกจากระเบียงไปทันที แต่โอ้พระเจ้า ระเบียงหัก แมวจึงกระโดดพลาด ทิ้งตัวดิ่งตกจากสวรรค์ไปหลายชั้น พระเจ้ารีบเสกคาถา ช่วยแมวให้รอดชีวิต แต่ก็ช่วยไว้ไม่ทัน พระเจ้าทรงเหาะลงไปรับศพแมวขึ้นมายังปราสาท ทรงรู้สึกเศร้ามาก จึงเนรมิตชีวิตให้แมวขึ้นใหม่ และกล่าวว่า "แมวเอ๋ย เพื่อชดใช้ที่ข้าไม่ดูแลซ่ิอมแซมระเบียง ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตใหม่ถึงเก้าชีวิต" นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้แมวมีเก้าชีวิตจนทุกวันนี้ "เจ้าแมว เจ้าไปตามหมาให้ข้าหน่อย ข้ารู้สึกเป็นห่วงมัน" จากนั้นแมวผู้ซื่อสัตย์ก็ตามกลิ่นหมาไปเรื่อยๆจนถึงดาวดวงที่สี่ มันเหนื่อยมาก จึงตั้งใจพักอยู่ที่นั่นก่อน พร้อมๆกับตามรอยหมาไปเรื่อยๆ

พระเจ้ารู้สึกว่าแมวไปนานผิดสังเกตมาก ทรงดำริว่าน่าจะเป็นเพราะความสามารถในการเดินทาง ทรงดำริว่าแม้ว่าทั้งสองตัวนั้นมันมีขาถึงสี่ขาก็ยังไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่ อย่ากระนั้นเลย เราปั้นเจ้าตัวใหม่อีกตัวดีกว่า เพื่อให้ไปตามไอ้สองตัวนั้นโดยเฉพาะ เพราะีคนรับใช้เรา เขาก็กลับกันมาหมดแล้ว สัตว์ตัวใหม่นี้ พระเจ้า ทำให้ขามันเหลือแค่สองขา และมีขนาดเพียงนิดเดียว แต่ให้มีือสองข้างกลายเป็นปีกที่แผ่กว้างออกได้ ไม่ต้องเดิน แต่สามารถบินไปในอากาศได้ไกลในเวลาที่รวดเร็วกว่าสัตว์สองตัวแรกหลายเท่า เรียกส่วนนี้ว่า "ปีก" หนำซ้ำยังให้ลักษณะพิเศษสามารถจำทางกลับมาหาเจ้าของได้แม่นยำด้วย "แกชื่อเจ้า นก ก็แล้วกัน" พระเจ้าพูด

นกได้บินออกเดินทางไปถึงดาวดวงที่สี่อย่างรวดเร็ว แต่อนิจจา แม้ว่ามันจะกลับบ้านได้ แต่เมื่อมาถึงดาวดวงนี้ ซึ่งเป็นดาวที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์มาก มันก็ไม่นึกอยากกลับแล้ว ที่สำคัญพระเจ้าไม่ได้ให้นิสัยของความซื่อสัตย์ติดตัวนกมาด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงลืม "เราอ้างกับพระเจ้าว่าเราหาแมวกับหมาไม่เจอก็แล้วกัน" นกคิด และิอยู่ที่นั่นต่ออย่างไม่อนาทรร้อนใจ
พระเจ้าที่น่าสงสาร คราวนี้พระองค์ไม่สนุกเลย เพราะรอเท่าไรก็ไม่ปรากฏว่าสัตว์ทั้งสามจะกลับมาหาพระองค์เลย คนสนิทของพระเจ้าซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆพระองค์ เห็นว่าพระองค์ทรงหงอย จึงทูลเล่นกับพระองค์ว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงใช้แว่นวิเศษส่องดูดาวดวงนั้นหน่อยหรือพระเจ้าข้า ว่ามันเกิดอะำไรขึ้น" คำพูดนี้ทำให้พระองค์ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงทรงไปคว้าแว่นวิเศษมาส่องดู ก็พบว่า ทั้งหมา แมว และนก ต่างขยายพันธุ์ของตัวเองออกไปมากมายหลายชนิด แต่ยังคงลักษณะเด่นของตัวเองเอาไว้

(ผลงานของเด็กจากนิทานเรื่องนี้)




วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 3 รูปปั้นของพระเจ้า



แกล้งคนบนดาวดวงที่สองไปแล้ว ทีนี้จะแกล้งใครอีกดี พระเจ้าทรงคิด ขณะที่คิดอยู่นั้น พระองค์ทรงสดับเสียงเด็กๆมากมายที่ชั้นล่างของเมฆ แหมหนวกหูจัง ทรงดำริ "ดีหละ ข้าจะจัดการกับเด็กๆ เทวดาน้อยเหล่านั้นให้ต้องจดจำซะบ้าง" จากนั้นพระองค์ทรงหยิบกล่องใส่กระดาษเช็ดปากของพระองค์ขึ้นมาขยำๆ พร้อมกับท่องคาถาอะไรบางอย่าง "อ่าฮ่า ได้มาแล้ว กล้องถ่ายรูปวิเศษ ทีนี้แหละไอ้เด็กๆจอมหนวกหูทั้งหลาย จะได้เห็นดีกัน" จากนั้นพระองค์ทรงยกกล้องขึ้นมาเล็ง แชะ แชะ ทรงกดชัตเตอร์ แล้วเทวดาองค์น้อยๆที่มีอยู่ซักสิบคนก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆหายไปทีละคนทีละคน เอ๋ทรงทำอะไรกับพวกเด็กๆเหล่านั้นนะ

สักครู่ทรงยกแว่นวิเศษขึ้นส่องดูความเป็นไปบนดาวดวงที่สาม แล้วทรงพระสรวลดังสนั่น ตรัสว่า"สมน้ำหน้า อยากทำให้ข้าเสียสมาธิ สนุกแน่คราวนี้"

ที่ดาวดวงที่สาม มีเด็กชายคนหนึ่งปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่ตามลำพัง ในบ้านมีพร้อมทุกอย่าง เตียงนอน เตาไฟ โต๊ะอาหาร เก้าอี้นั่งเล่น ห้องน้ำ ถึงกระนั้นเด็กน้อยก็ชอบออกไปชมธรรมชาติด้านนอกอยู่ดี มีต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ภูเขา และยังสัตว์น้อยใหญ่อีก เพลิดเพลินไม่รู้เบื่อเลย แต่ทว่าวันนี้เดินออกมายังไม่ทันจะไปไหนเลย มีรูปปั้นอะไรน่ะ มาปรากฏอยู่ตรงลานหน้าบ้านของเราเต็มไปหมด มีทั้งท่านั่ง ท่านอน ท่ายืนเท้าสะเอว ท่ากระโดด และอีกสารพัดท่า แต่งตัวก็คล้ายๆกันหมด ประหลาดจัง ดูไปดูมาหาประโยชน์อะไรไม่ได้ อย่าปล่อยไว้ให้รกเลย เราเอามันไปทิ้งดีกว่า

ยังไม่ทันที่เด็กจะแตะถูกรูปปั้นด้วยซ้ำ พลันก็ได้ยินเสียงดังมาจากฟากฟ้า "อย่าแตะมันนะ" "ตูม!!" เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับควันมากมาย พอควันเริ่มจางหาย เด็กชายก็พบว่า ตนเองไม่มีแขนขาซะแล้ว เด็กชายมองตัวเองอย่างงงงวย แต่ไม่รู้สึกกลัวซักนิด เพียงแต่ว่า... ทำไมขยับตัวไม่ได้ ต้องเป็นเสียงนั้นแน่ๆที่ทำเราแบบนี้

"ทำอะไรกับข้า..." เด็กน้อยร้องตะโกน "เจ้าอยากทำอะไรเล่า ไม่มีแขนขาก็ดีแล้วนี่" แต่ว่าข้ากำลังจะไปกินข้าว ข้าหิว แล้วขยับตัวไม่ได้ ข้าจะทำยังไง" เสียงนั้นตอบว่า "เจ้าก็เข้าไปแตะตัวรูปปั้นที่ทำท่าทางที่เจ้าต้องการ เจ้าก็จะได้ท่าทางนั้นทันที" โชคดีที่ตัวที่ทำท่าเดินอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม ไม่ช้าหลังจากที่เด็กแตะเจ้าตัวนั้นได้แล้ว เด็กสามารถเดินได้ จึงรีบเดินเข้าบ้านเพื่อจะกินอาหารที่เตรียมไว้ แต่อนิจจา นั่งไม่ได้ "อย่าบอกนะว่าเราต้องไปรวมตัวกับไอ้เจ้ารูปปั้นท่านั่งที่เราเห็น" ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ไม่นานเด็กชายก็เกิดความคิดว่า เอารูปปั้นทุกตัวเข้าบ้านเสียเลยดีกว่า เมื่อต้องการใช้ท่าทางแบบไหน ก็จะได้มีให้ใช้ได้ตลอดเวลา เรื่องก็ดำเนินไปตามปกติ จากยืนเป็นเดิน จากเดินเป็นนั่ง แต่พอถึงเวลาที่เด็กอยากนอน "ท่านอนอะไรกันเนี่ย" ท่านอนของรูปปั้นเป็นท่านอนตะแคง "ข้าจะนอนแบบนี้ทั้งคืนได้อย่างไรกัน" เด็กชายถามตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เด็กชายร้องไห้ออกมาเสียงดังมาก จนทำให้พระเจ้าตกใจตื่น "โอ้ขอโทษนะ ข้าไม่อยากแกล้งเจ้าอีกแล้วล่ะ เจ้าอยู่ในท่าเดิน ออกเดินไปที่ธารน้ำที่ใกล้ที่สุด เมื่อเจ้าเห็นพระจันทร์ส่องสว่างสะท้อนพื้นน้ำที่ไหน เจ้าจงเดินลงน้ำไปที่นั่น แล้วเจ้าจะเป็นปกติ"

เด็กในท่าเดิน จึงรีบทำตามคำพูดของพระเจ้า เดินมาไม่นาน พบธารน้ำ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง กำลังส่องสว่างไปทั่วบริเวณ และที่บริเวณหนึ่งบนผิวน้ำ เด็กชายแลเห็นเงาพระจันทร์สุกสว่างอยู่ที่จุดนั้น จึงจำตำแหน่งไว้ แล้วเดินตรงรี่ไปที่นั่น แช่ตัวอยู่พักใหญ่ ก็รู้สึกว่ากลับมาเป็นตัวเองดังเดิม เขาดีใจมาก รีบขึ้นจากน้ำ ตรงไปที่บ้าน อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวนอนอย่างเป็นสุข เขาเกิดเอะใจขึ้นมา จึงมองดูรอบๆ ก็พบว่ารูปปั้นทั้งหลายแหล่ได้อันตธานไปหมดแล้ว

ที่สวรรค์เบื้องบน เหล่าเทวดาน้อย ได้กลับคืนสู่สภาพปกติ ทุกคนได้รับบทเรียนที่ต้องมีตัวแข็งทื่อมาตลอดทั้งวัน จึงกลายเป็นเด็กเรียบร้อยมีระเบียบ และน่ารักขึ้นมาทันที พระเจ้าทรงพอพระทัยมากที่ได้กลับมาสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงคิดว่าได้เวลาบรรทมของพระองค์แล้ว ค่อยหาเรื่องสนุกๆทำใหม่ในวันรุ่งขึ้นดีกว่า

(ผลงานของเด็กๆจากนิทานเรื่องนี้)



วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 2 ขนมปังรูปใบหน้า



หลังจากที่พระเจ้าทรงสนุกสนานกับการดูเหตุการณ์ที่เป็นไปในดาวดวงแรกแล้ว วันรุ่งขึ้นพระองค์ยังทรงคิดอะไรไม่ออกว่าจะสนุกกับดาวที่เหลือยังไง จึงนำเศษขนมปังที่มีรูปร่างต่างๆโปรยใส่ดาวต่างๆเล่นไปก่อน พระองค์ไม่ทรงทราบว่าเพราะการทำเช่นนี้ทำให้เกิดสัตว์น้อยใหญ่ซ่อนตัวอยู่ทั่วไป ไม่นานนักพระองค์ทรงคิดออก ทรงนั่งปั้นหน้าตาแบบต่างๆที่ทรงเห็นเหล่าเทวดานางฟ้าทำให้ดูทุกวัน มีทั้งหน้าตายิ้มแย้ม หน้าตาบูดบึ้ง หน้าตาขึ้งโกรธ หรือง่วงเหงาหาวนอน จากนั้นเมื่อได้หน้าต่างๆอยู่หลายแบบแล้ว ก็ทรงโยนลงไปที่ดาวดวงที่สอง แล้วใช้แว่นวิเศษส่องดูว่าจะเกิดอะำไรขึ้น

ในดาวดวงนั้น บังเอิญมีเด็กผู้ชายอยู่คนหนึ่ง หน้าตาเรียบๆ เขากำลังเดินเล่นอยู่ สายตาเหลือบไปเห็นแผ่นใบหน้าที่พระเจ้าโยนมาจากฟ้า มองดูแล้วคิดว่าเป็นหน้ากากให้ใส่เล่น ยกแผ่นหนึ่งขึ้นมาสวมบนหน้า แต่ไม่ได้ดูว่าหน้ากากนั้นแสดงอารมณ์อย่างไร พอติดหน้าได้เท่านั้นแหละ มันถอดไม่ออกเลย โธ่จะทำไงดี เดินไปทั้งๆที่มีหน้ากากติดอยู่ พบลิงตัวหนึ่งเข้า จึงเข้าไปขอร้องให้ช่วยดึงหน้ากากออก ลิงมองเห็นได้แต่วิ่งหนี และไม่ว่าเด็กชายจะเดินไปพบกับตัวอะำไร ทุกตัวต่างวิ่งหนีกันหมด เด็กน้อยได้แต่สงสัยว่า อะำไรหนาที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

ไม่นานเขาก็เดินมาถึงสระน้ำแห่งหนึ่งจึงก้มหน้าลงไปมองดูหน้าตัวเอง อ๋อ ที่แท้หน้ากากนี้กำลังทำหน้าบึ้งแกมโกรธอยู่นี่เอง สัตว์ทุกตัวจึงได้วิ่งหนีเรา ไม่นานนักเด็กก็เดินกลับมาถึงที่เก่าที่เขาพบหน้ากากครั้งแรก ทีนี้ เขาตั้งใจหาหน้ากากที่มีรอยยิ้มอยู่ด้วยแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงคิดว่าแผ่นหน้ากากที่คว่ำอยู่นั้นคือหน้ากากแห่งรอยยิ้ม พอจับได้หน้ากากอันใหม่นั้น อันเก่าบนใบหน้าก็หลุดออกทันที เขารีบหยิบอันใหม่มาสวม คราวนี้ก็ถอดไม่ออกอีก แต่เขามั่นใจว่ามันคือหน้ากากรอยยิ้ม จึงเดินไปขอความช่วยเหลือจากสัตว์ต่างๆอีกเช่นเคย

แต่อนิจจา สัตว์ทุกตัวก็ไม่สนใจใยดีในตัวเขาอีกเช่นเคย มันเป็นหน้าอะไรกันน้า เขาคิด เขา้เดินไปเรื่อยๆจนพบเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กคนนั้นถามว่า "เธอเป็นอะไรไปจ้ะ ทำไมดูเศร้าจัง" คราวนี้เด็กคนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นหน้ากากหน้าตาแบบไหน เมื่อเขามองหน้าเด็กหญิงตรงๆ เขาพบว่าเด็กหญิงยิ้มแป้นอย่างประหลาด จึงถามกลับว่า "แล้วเธอล่ะ ทำไมจึงมีความสุขนัก" เด็กหญิงตอบว่า "ฉันน่ะเหรอ ที่จริงฉันกำลังกลุ้มใจต่างหาก เพราะว่าหน้าที่เธอเห็นอยู่นั้นมันเป็นเพียงหน้ากากที่ฉันพบระหว่างทางแล้วหยิบมาใส่เล่น พระเจ้าต้องทรงทำให้มันกลืนไปกับเนื้อของฉัน ฉันไม่ได้ยิ้มจริงๆหรอก เธอช่วยเอามันออกให้ฉันหน่อยได้ไหม" เด็กชายรู้สึกประหลาดใจที่เด็กหญิงเป็นเหมือนเขา จึงพูดขึ้นว่า "ฉันก็เป็นเหมือนเธอแหละ ฉันไม่ได้เศร้าอย่างที่เธอเห็น แต่รู้สึกกลุ้มใจเหมือนกัน เพราะหน้านี้ก็เป็นหน้ากากที่ฉันเก็บมันมาใส่และถอดไม่ออกเหมือนของเธอนั่นแหละ" จากนั้นทั้งสองต่างช่วยกันดึงหน้ากากให้แก่กัน แต่ว่าไม่เป็นผล

ไม่นานนักทั้งสองได้ยินเสียงๆหนึ่งก้องกังวาลมาจากฟากฟ้า "เจ้าทั้งสองอยากให้หน้ากากหลุดออกมา เจ้าต้องไม่กลุ้มใจ เจ้าทำใจให้เบิกบาน แล้วหน้ากากจะหลุดออกมาเอง" เด็กทั้งสองลองทำอย่างว่าง่าย แล้วหน้ากากก็หลุดออกมาอย่างง่ายๆเช่นเดียวกัน ทีนี้ทั้งสองยิ้มหน้าบานอย่างเป็นสุข และเป็นยิ้มจริงๆของทั้งสองคน ไม่ใช่หน้าตาของหน้ากากอย่างครั้งก่อน
พระเจ้าทอดพระเนตรแล้วก็ทรงแย้มสรวล ตรัสกับพระองค์เองว่า "เด็กๆมักจะซนอย่างนี้เสมอ ถ้าเราไม่ตะโกนบอกเคล็ดลับไปน่ะ ไม่มีวันที่พวกเขาจะได้กลับมาเป็นคนเดิมหรอก" จากนั้นก็เดินไปยังห้องเครื่องเพื่อหาของว่างเสวยต่อไป

(เชิญชมผลงานของเด็กๆ จากนิทานเรื่องนี้)




วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ปี 53 ตอนที่ 1


 กำเนิดวงกลม

ในโลกแห่งจินตนาการ หลังจากที่พระเจ้า เตรียมพื้นที่ด้วยจักรวาลอันกว้างใหญ่แล้ว พระองค์ทรงรู้สึกเหนื่อย จึงบรรทมพักผ่อน หลังจากตื่นจากบรรทม ทรงหิว คนรับใช้ได้นำขนมปังกลมๆมาถวาย พร้อมกับซุปและอาหารอื่นๆ เมื่อทรงอิ่มหนำสำราญพระทัยดีแล้ว ทรงดำริจะสร้างสิ่งต่างๆให้ล่องลอยอยู่ในจักรวาล

ทีแรกทรงนึกไม่ออก แต่เมื่อทรงเห็นขนมปังกลมๆ พระองค์จึงทรงนำแป้งมาปั้นเป็นลูกกลมๆ หลากสีสัน โยนไปในจักรวาล มีทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่ บางลูกทรงโรยด้วยน้ำตาลทรายระยิบระยับ บางลูกทรงเอาสีแต้มเป็นแถบบ้างเป็นจุดบ้าง หรือทรงนึกสนุก ก็ทรงเอาซ่อมจิ้มเป็นรูๆบ้าง สิ่งกลมๆที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล ดูสวยงามมาก ทรงพอพระทัยเป็นที่สุด ทรงเรียกลูกกลมๆเหล่านั้นว่า"ดวงดาว" ทรงชื่นชมมองดวงดาวอยู่ทุกวัน จนนานเข้า พระองค์ทรงเบื่อ จึงทรงดำริหาเรื่องสนุกๆที่จะทำต่อไป ทรงคิดว่า "สำหรับดาวดวงแรก เรายังคิดอะไรไม่ออก ขอโยนขนมกลมๆกับเศษขนมปังลงไปเล่นดูก่อน อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น" จากนั้นทรงไปหาแว่นขยายวิเศษมา ส่องดู ทรงพบเรื่องราวดังต่อไปนี้

วงกลมวงนั้น กลิ้งไปมาอย่างสนุกสนาน นานเข้ารู้สึกเบื่อ เพราะตัวเองทำอะไรไม่ได้ นอกจากกลิ้งและเด้งไปมา สีสันบนตัวก็ไม่มี โธ๋ชีวิตช่างจืดชืดและน่าเบื่อเสียเหลือเกิน มันคิด "เราจะลองกลิ้งจากยอดเขาที่สูงที่สุดในแผ่นดินนี้ไปลงทะเลดูดีกว่า ว่าจะเกิดอะไรขึ้น" แล้วมันก็กลิ้งตัวเองไปถึงยอดเขาที่ว่า จากนั้นก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่กลิ้งลงมาหล่นตุ๊บอย่างแรงลงทะเลไป

ลอยอยู่ไม่นานได้ขึ้นไปที่เกาะแห่งหนึ่ง เห็นกระต่ายตัวหนึ่งกระโดดไปกระโดดมา เห็นแล้วมีความสุขมาก เพราะตัวมันมีสีสัน แถมมีหูยาวๆ หางฟู ดูไม่เบื่อ กระต่ายทักทายวงกลมว่า "สวัสดี ขอต้อนรับท่านผู้มาใหม่เข้าสู่ดินแดนแห่งการรวมตัว" "เป็นยังไงนะ"วงกลมถาม "ที่นี่เราทุกคนชอบเล่นรวมตัวกัน วันไหนที่เราเบื่อตัวเอง เราจะไปรวมกับอีกคนหนึ่ง ทำให้มีรูปร่างใหม่เกิดขึ้น" "จริงเหรอนี่ ฉันอยากรวมตัวกับเธอดูบ้้าง"วงกลมพูด "ได้เลย" กระต่ายตอบ จากนั้นทั้งสองก็กระโดดเข้ารวมตัวกัน เกิดเป็นกระต่ายทรงกลมที่ดูน่าขันที่สุดในโลก ไม่นานเพื่อนๆชาวเกาะตัวอื่นๆ ต่างก็นึกสนุกพากันมารวมตัวร่วมกับวงกลม เกิดเป็นสิ่งแปลกๆมากมาย

พระเจ้าทอดพระเนตรแล้ว ทรงหัวเราะอย่างขบขัน "โอ เราชอบดาวดวงแรกของเราจริงๆเลย เอ้าเด็กๆมาถ่ายรูปเจ้าตัวประหลาดพวกนี้เอาไว้แสดงอวดนางฟ้าเทวดาให้ดูกันหน่อยซิ" สำหรับวันแรกของการสร้างดาวของพระเจ้า ก็จบเพียงเท่านี้

หมายเหตุ นิทานนี้แต่งขึ้นเพื่อประกอบการสอนวาดการ์ตูนที่หอศิลป์เจ้าฟ้า ให้กับเด็กประถมหนึ่งถึงสามในวันรุ่งขึ้น

(ด้านล่างนี้คือตัวอย่างผลงานเด็กๆ หลังจากฟังนิทานเรื่องนี้)