วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 9 พระเจ้าจัดงานเลี้ยง





พระเจ้าทรงดำริว่า จะทรงหยุดพักการปั้นแป้งของพระองค์แล้ว เพราะพระองค์ไม่นึกสนุกอีกต่อไป ดังนั้นพระองค์ทรงอยากจัดงานเลี้ยงฉลองแป้งทุกตัวที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น จึงทรงให้ข้าราชบริพาร ตามไปที่ดาวดวงต่างๆ เพื่อเรียกแป้งทุกตัวกลับมาเล้ยงแลอง

หลังจากที่มากันพร้อมหน้าแล้ว พระองค์ทรงขอบพระทัยแป้งทุกตัว ที่สร้างความสำราญให้กับพระองค์ จากนั้นได้ทรงให้ข้าราชบริพาร นำอาหารอย่างดี มาเลี้ยงฉลองทุกคน อาหารประกอบด้วย ซุปข้นหม้อใหญ่ ไก่ย่างตัวใหญ่ สลัด ปลาทอด มันฝรั่งทอด พิซซ่า ขนมเค็ก ขนมเยลลี่ยักษ์รูปปลา อาหารทะเล และเครื่องดื่มน้ำพั้นช์อย่างดี ทุกคนรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย

แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อเจ้ายีราฟเกิดอาการแพ้อาหารทะเล และ ช้างแพ้มันฝรั่ง ทั้งสองตัวมีอาการคัน และตัวบวม เกิดความทรมานมาก ลุกขึ้นเดินเหยียบโน่น เหยียบนี่ หาทางบรรเทาอาการคัน ยีราฟเอาขาถูกับเก้าอี้ ช้างเอาตัวลงไปแช่น้ำพั้นช์ แป้งทุกตัวโดนน้ำพันช์เปียกกันหมด เนื่องจากว่าพวกมันเป็นแป้ง จึงมีบางตััวที่ละลายเละเหลว

พระเจ้าทรงกลุ้มพระทัยมาก จึงทรงนำแป้งทั้งหมดมาผสมรวมกัน แล้วปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะที่โตใหญ่มาก จากนั้นพระองค์ทรงนำมันไปอบ และตั้งไว้เพื่่อเป็นอนุสรณ์ให้คิดถึงแป้งทุกตัวที่พระองค์ทรงปั้น และสนุกกับมันมา ..แล้ว 9 วันกับ 9 ดวงดาวของพระองค์ก็จบเพียงเท่านี้
สวัสดีค่ะ แล้วพบกันปีหน้าที่หอศิลป์เจ้าฟ้านะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 8 ตึกกับต้นไม้


ความคิดของพระเจ้า ชักจะก้าวหน้าไปใหญ่ ทีนี้พระองค์ไม่ขอทรงปั้นแป้งเป็นอะไรที่กลมๆอีกต่อไป ทรงปั้นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกล่องนม บางทีก็มีหลังคา บางทีก็คลึงแป้งเป็นรูปทรงกระบอกยาวๆ ทรงเอามาตั้งดูเล่น มันก็ล้มไปมาไม่เป็นท่า จากนั้นพระองค์ทรงโยนสิ่งเหล่านี้ไปยังดาวดวงที่ 8 แล้วไม่ทรงสนพระทัยมันอีกเลย เหล่าเทวดา นางฟ้ากลับเกิดความสงสัยใคร่รู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับดาวดวงที่ 8 จึงยกแว่นขยายวิเศษขึ้นมาแบ่งกันส่องดู

เมื่อมองไปก็ต้องประหลาดใจ ที่สิ่งต่างๆที่พระองค์โยนลงไปนั้นกลับมีชีวิตขึ้นมา พวกมันกำลังเดินไปมาเพื่อเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆบนดาวดวงนั้น แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่ละตัวพากันหักออกเป็นท่อนๆ หล่นลงมาบนพื้นดิน เนื่องจากพวกมันไม่มีมือ พวกมันจึงได้แต่มองชิ้นส่วนที่หักลง แม้จะเห็นแล้วว่า อันไหนเป็นของใคร แต่ก็ไม่สามารถนำมาต่อกันได้ ชิ้นส่วนต่างๆก็กองกันอยู่อย่างนั้น

ต้นไม้แถวๆนั้นพูดว่า "ให้ฉันช่วยพวกเธอไหมละ" "ดีซิ ดีจัง ช่วยเลยช่วยเลย" แล้วต้นไม้ก็ทำการต่อตึกต่างๆกลับเข้าที่ แต่ว่ามันนำมาต่อผิดฝาผิดตัวหมดเลย เหล่าตึกโวยวายขึ้น "ทำไมเธอทำแบบนี้ ผิดหมดเลย" ตันไม้พูดแก้ตัวว่า "ขอโทษนะ ฉันไม่่ทันเห็นตอนที่พวกเธอยังไม่หัก เลยจำไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร" จากนั้นก็เกิดการทะเลาะกันยกใหญ่ พวกของต้นไม้ก็พากันกรูเข้ามาต่อว่าตึก ว่า ไม่รู้จักบุญคุณ ในที่สุดก็แบ่งเป็นสองฝ่าย ไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศขณะนั้นเคร่งเครียด และไม่มีใครมีความสุข

แต่แล้วไม่นาน เกิดน้ำท่วมใหญ่พัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างกระจายตัวออกจากกันไปคนละทิศคนละทาง เมื่อน้ำแห้งลง ชิ้นส่วนต่างๆของตึกและต้นไม้ แยกกันอยู่ห่างกันมาก กินบริเวณกว้างขวาง พวกมันต่างรู้สึกแย่มากที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะทะเลาะกันเลย จะพูดคุยกันธรรมดายังเหมือนอยู่ห่างกันเต็มที แม้จะตะโกนก็ยังยากที่จะได้ยินกัน พวกตึกต่างคิดว่าขอเป็นตึกที่มีแต่ละท่อนไม่เหมือนกัน ยังดีกว่าต้องมาอยู่เป็นท่อนๆโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้จะไม่ทะเลาะกันอีก

ไม่ช้ามีพายุใหญ่พัดโหมมา ทีนี้ทั้งต้นไม้ทั้งตึกพากันปลิวไปตามแรงลม สุดท้ายต้นไม้ไปยืนบนตึกก็มี ชิ้นส่วนของตึกไปอยู่บนต้นไม้ก็มี ผสมปนเปจนเป็นภาพที่ประหลาดที่สุด

เมื่อแต่ละตัวได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ก็ไม่มีใครถือตัวว่านี่คือตัวฉัน นี่คือตัวเธออีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่าการอยู่ตัวเดียวเป็นอะไรที่ทรมานมาก ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเสมือนเป็นคนสนิทกัน ในตอนแรกเหล่านก กระรอก และแมลงที่เคยอาศัยบนต้นไม้ต่างๆเป็นที่อยู่ที่กิน ต่างไม่กล้าเข้ามาเกาะกิ่งไม้เหมือนอย่างเคย แต่พอนานเข้า พวกมันก็ค่อยๆชิน และพากันมาอาศัยต้นไม้อยู่อย่างเดิม และยังพบว่าพวกมันมีความสุขยิ่งกว่าเก่า เพราะบ้านใหม่ของมันมีส่วนที่เป็นตึกด้วย ทำให้พวกมัน มีห้องหับสำหรับทำกิจกรรมต่างๆเพิ่มขึ้น บางทีก็มีบันไดสำหรับขึ้นลงให้ออกกำลังกาย และมีระเบียงให้ไล่จับกันเล่นด้วย สัตว์ต่างๆได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น พวกมันชอบบ้านใหม่ของพวกมันมาก

เหล่าเทวดานางฟ้าที่แอบดูอยู่ก็อดปลื้มใจในความรักและความสมัครสมานของทุกตัวไม่ได้ หนำซ้ายังได้เห็นเมืองที่มีความพิสดารและสวยงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เทวดาน้้อยองค์หนึ่งละสายตามาจากแว่นวิเศษ พบว่าพระเจ้าอยู่ข้างหลังกำลังแอบย่องออกจากห้อง พระหัตถ์หนึ่งทรงถือขันน้ำ อีกพระหัตถ์หนึ่งทรงถือไดร์เป่าผม ชวนให้สงสัยเป็นอย่างยิ่ง

(ผลงานของเด็กๆจากนิทานเรื่องนี้)



วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 7 เล็กสลับใหญ่


หลังจากผิดพลาดอย่างแรงกับการปั้นดาวดวงที่ 6 พระเจ้าจึงทรงดำริว่า ดาวดวงที่ 7 จะต้องปั้นตัวละครที่ละเอีียดประณีตที่สุด ลองปั้นของจิ๋วๆดูบ้างดีกว่า แม้ว่าพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์จะใหญ่มาก แต่ทรงปั้นสัตว์ตัวเล็กได้ยอดเยี่ยม พระองค์ทรงปั้นอะไรนั้น คนเล่าก็มองไม่ค่อยเห็นเพราะเป็นของจิ๋ว จากนั้นทรงโยนไปที่ดาวดวงที่ 7 ทรงทอดพระเนตรเห็นเศษขนมปังเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ ก็ทรงกวาดด้วยพระหัตถ์โปรยลงไปที่ดาวดวงที่ 7 ทั้งหมด

ทรงหาแว่นขยายคู่พระทัยมาส่องดู แต่ไม่ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไรเลย ต้องทรงดำรัสสั่งให้ช่างกระจกทำแว่นขยายอันใหม่ที่ขยายได้มากกว่าเก่าอีก 10 เท่า พระองค์รอถึง 3 วันกว่าจะได้แว่นมา เมื่อทรงยกขึ้นส่องดู ปรากกฏว่าสัตว์ตัวเล็กๆที่พระองค์ทรงปั้นนั้น มีรูปร่างหน้าตาประหลาดมาก ทุกตัวไม่มีขา เพราะปั้นยาก จึงไม่ทรงปั้น ทุกตัวต่างใช้วิธีกระเดิ๊บเข้าหากัน พูดคุยไปมา บางตัวก็อ้วนกลม
บางตัวก็ผอมเพรียว บางตัวมีงวง บางตัวมีหาง แต่ทุกตัวรู้สึกว่าไม่มีความสะดวกในการเดินทางเอาซะเลย พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงเนรมิตบ่อขึ้นมา สามบ่อ บ่อที่หนึ่ง บ่อแห่งขา บ่อที่สอง บ่อเแ่ห่งปีก และบ่อที่สี่ บ่อแห่งสีสัน ทรงบัญชาว่า "เจ้าทั้งหลาย ใครอยากได้ปีกไว้บิน หรือขาไว้เดิน ก็จงกระโจนลงไปในบ่อที่จัดไว้ให้ มีข้อแม้ว่า ทุกตัวต้องไม่เอาขากับปีกไปใช้มากเกินไป เพราะมีชิ้นส่วนจำกัด ส่วนอีกบ่อหนึ่งนั้นมีไว้สำหรับตกแต่งร่างกายให้สวยงาม (พระเจ้าเนรมิตบ่อนี้ขึ้นมา เพราะพระองคืทรงขี้เกียจระบายสีเอง) บ่อสุดท้ายไม่สามารถเลือกสีได้ ใครลงไปชุบตัวได้สีอะไรมาก็ต้องยอมรับในสีและลวดลายที่ตัวได้ ไม่มีการอุทธรณ์

จากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น แต่ละตัวไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครเข้าแถว เพราะกลัวว่าของหมด แล้วตัวเองจะไม่สะดวก ตรงเข้าเบียดเสียดยัดเยียด แย่งชิงกันอย่างอุตลุต ไม่นานความวุ่นวายก็สงบลง เพราะของหมด เมื่อพระเจ้าส่องดูสัตว์แต่ละตัว อดที่จะทรงขำไม่ได้ ช่างมีสารพัดสารพันอย่างที่นึกไม่ถึงเลยทีเดียว อะ มีบางตัวไม่มีปีก ไม่มีขา ไม่มีสีด้วย โธ่ช่างน่าสงสารแท้ๆ คงจะแย่งชิงกับเขาไม่ไหวเป็นแน่ เมื่อทุกตัวสัญจรเดินทางกันได้แล้ว ก็พากันเดิน หรือบินหายเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว พระเจ้าส่องดูอีกที ไม่ทรงพบใครเลย แหมไอ้พวกนี้นี่ แบบนี้เราจะมีอะไรสนุกสนุกดูละ อ๋อ คิดออกแล้ว เราจะโปรยละอองฝนแห่งการขยายขนาดให้ดาวดวงนี้ไปเลยดีกว่า คิดได้ดังนั้นแล้วพระองค์ทรงปฏิบัติการทันที

หลังจากฝนสงบลง สัตว์ทุกตัวมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก เดินไปไหนมาไหนก็ชนกัน มันดูเหมือนเหล่าแมลงยักษ์ไม่มีผิด เมื่อชนกันแต่ละที มันก็หงายท้อง แล้วยังคงอยู่ท่านั้นเป็นเวลานานไม่ว่าจะโยกเยกไปมายังไงก็ไม่สามารถกลับตัวได้ เป็นที่น่าขบขันต่อพระเจ้าอย่างยิ่ง พระเจ้าทรงดำริว่า เจ้าสัตว์พวกนี้มีสีสันแปลกตา รูปร่างก็ประหลาด แถมโลภมากมีขาตั้งหลายขา บางต้วบินได้ด้วยนะ ต่อไปในกาลข้างหน้า สัตว์เหล่านี้คงจะสูญพันธุ์ยากเป็นแน่ เราจะให้ชื่อพวกมันว่า "แมลง"

เอะ นั่นอะไรเล็กๆเดินยั้วเยี้ยอยู่ใต้ขาของแมลงเหล่านี้นะ เมื่อทรงส่องแว่นดูดีๆ ก็เห็นว่ามันคืีอเศษขนมปังที่พระองค์ทรงโปรยมาทีหลังนั่นเอง มันโดนฝนขยายตัวด้วย แต่ก็ไม่ใหญ่โตเท่าแมลงพวกนั้น ดูดีีๆ แต่ละตัวก็มีรูปร่างเหมือน แมว หมา นก หมี ช้าง และสัตว์ตัวอื่นๆที่เราเคยปั้นมาแล้ว แต่มันไม่มีสี มีแต่สีขาวๆเหมือนแป้งขนมปังเท่านั้นเอง ต่อไปจะอยู่กันยังไงล่ะ เดี๋ยวก็โดนพวกแมลงเหยียบตายกันเท่านั้นเอง ไว้ค่อยดูกันต่อไปนะ วันนี้พระเจ้าขอไปนอนก่อนดีกว่า สนุกมามากพอแล้ว

(ผลงานของเด็กจากนิทานเีรื่องนี้)




<" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5466227440400455698" />

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 6 พวกยาว


พระเจ้าทรงดำริว่า พระองค์ทรงปั้นแต่แป้งที่เป็นรูปกลมๆมาตลอด น่าจะปั้นอะไรที่เป็นรูปยาวๆบ้าง สำหรับดาวดวงที่ 6 นี้ เราจะปั้นสามตัว ตัวแรกก็ก้อนกลมๆสองก้อนติดกันเหมือนเดิม แต่มีจมูกยาวๆเลย เอาหูใหญ่ๆด้วย ขาก็เหมือนเดิมไปก็แล้วกัน แค่คิดก็สนุกแล้ว ตัวต่อไปนะ เอาหัวกับตัวแยกกัน ต่อคอให้ยาวๆ หางก็ยาวๆแหลมๆด้วย ขายังคิดไม่ออกเอาเหมือนเดิมไปก็แล้วกัน ใช่แล้ว อีกตัวเราจะให้ทั้งคอยาว ขายาวเลยดูซิว่าจะเก้งก้างขนาดไหน ปั้นไปก็ทรงขำไป เอ้าตัวนี้หางไม่ต้องสั้น เดี๋ยวจะทรมานมากเกินไป ปั้นเสร็จ พระองค์ก็ทรงโยนไปด้วยคาถาไปตกที่ดาวดวงที่ 6 รอสักครู่หนึ่งพระองค์จึงหยิบแว่นคู่ใจมาส่องดู

ที่ดาวดวงนั้น เด็กชายปิงปองของเราเล่นที่ดาวดวงที่ 5 เพลิดเพลินไปหน่อย เดินหลงทางมายังดาวดวงที่ 6 แถมยังพลัดตกลงไปในหลุมใหญ่ลึก ไม่สามารถขึ้นมาได้ ปิงปองที่น่าสงสาร ร้องของความช่วยเหลืออยู่นาน เจ้าตุ๊กตาแป้งสามตัวของเราก็โผล่มาพอดีจึงตรงเข้าช่วยเหลือ แต่ตัวที่จมูกยาวไม่สามารถยื่นจมูกลงไปเกี่ยวปิงปองขึ้นมาได้ ตัวคอยาวทั้งสองจึงลองยื่นคอลงไปอย่างสุดความสามารถ ตัวคอยาวขาสั้น มีคอที่ยาวมาก ตัวที่ขายาวกว่ายังไปไม่ถึงปิงปอง ในที่สุดตัวที่คอยาวกว่า ก็สามารถดึงปิงปองขึ้นมาได้ ทั้งสามเป็นเพื่อนที่ดีจากนั้นมา

ปิงปองยังคงอยากหาทางกลับบ้านอยู่ ท้องก็ร้อง รู้สึกว่าหิวแล้ว ไม่ทันรู้ตัว เจ้าคอยาวกว่าเพื่อนก็เอากล้วยทั้งเครือมาให้ ปิงปองรู้จักกล้วยดี จึงดึงแต่ลูกสีเหลืองออกมากิน เจ้าคอยาวกว่ากินแต่ลูกสีเขียว จนตัวกลายเป็นสีเขียว ส่วนเจ้าขายาวชอบกินลูกสีเหลือง ทั้งลูกที่มีด่างดำๆมันก็ไม่รังเกียจ ตัวมันจึงกลายเป็นสีเหลืองลายดำ ส่วนเจ้าหูใหญ่กินไม่ทัน กล้วยหมดซะก่อน จึงเดินไปหักต้นอ้อยกิน จนกระทั่งตัวกลายเป็นสีน้ำตาล ปิงปองให้ชื่อว่า กรีน เยลโล่ และบราวน์

เดินทางไปเรื่อยๆ จนเริ่มมืด ปิงปองรู้สึกง่วงมาก ไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหนดี เจ้าเยลโล่เลยอาสาที่จะทำตัวเป็นเสาเต้นท์ให้ จากนั้นเจ้าบราวน์ก็ไปดึงเถาวัลย์มาพาดตัวเจ้าเยลโล่กลายเป็นม่าน ปิงปองเข้าไปนอนอย่างมีความสุข แต่เอะ เจ้ากรีนหายไปไหนน้า คงจะไปหาที่นอนเหมาะๆละมั้ง คิดดังนั้นแล้ว ต่างคนต่างนอน เยลโล่ไม่กลัวนอนยากเพราะเอาคอพาดไว้กับกิ่งไม้ ส่วนเจ้าบราวน์แผ่หลาบนพื้นอย่างเป็นสุข

ตื่นเช้าขึ้นมาทุกตัวพากันไปเล่นน้ำ บราวน์พ่นละอองน้ำใส่ปิงปองอย่างสนุกสนาน ไม่นานเจ้ากรีนก็โผล่มา มันไม่ลงอาบน้ำเหมือนคนอื่นๆ มันเล่าว่า "เมื่อคืนนี้ ฉันเดินไปเจอทะเลสาบแห่งหนึ่งสวยงามมาก ฉันจึงลงเล่นในทะเลสาบนั้น รู้สึกสดชื่นมากเป็นพิเศษ นานๆทีก็จะมีดอกไม้สีขาวโผล่ขึ้นมาจากกลางทะเลสาบ เมื่อลองดมดู มันมีกลิ่นหอมมาก แต่เมื่อฉันจับมัน มันทำให้ฉันสลบ และรู้สึกเหมือนได้ล่องลอยไปไกลแสนไกล พบสถานที่ที่มีเมฆมากมาย มีคนแต่งตัวสวย และ มีท่านผู้เฒ่าทรงภูมิด้วย

เมื่อปิงปองฟังแล้ว ก็รู้ได้ในทันทีว่าที่นั่นคือบ้านของปิงปอง จึงขอให้กรีนพาเขาไป ขณะที่ทุกตัวกำลังเดินทางไปอยู่นั้น พลันพื้นดินที่ตามมาก็ค่อยๆยุบตัวลง กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าพื้นดินทั้งหมดกำลังยุบพังลงเข้าหาศูนย์กลาง ทุกคนฉวยจับอวัยวะของแต่ละคน กลายเป็นว่า ปิงปองห้อยอยู่ปลายสุด โดยยึดจมูกของบราวน์ไว้ เยลโล่งับหางของบราวน์ด้วยปาก กรีนงับหางเยลโล่อีกที หางของกรีนนั้นเกี่ยวต้นไม้บนดินต้นหนึ่งอยู่ มันเป็นต้นที่สูงยาวมาก สุดท้ายปิงปองจับจมูกบราวน์ไม่ไหว มือลื่นหลุด แต่เดชะบุญที่ดอกไม้สีขาวลอยมาจากไหนไม่รู้ ด้วยปฏิภาณการเอาตัวรอด ปิงปองจึงจับดอกไม้สีขาวดอกนั้นไว้ สุดท้ายเขาได้กลับมายังสรวงสวรรค์ของเขาตามเดิม ส่วนตัวอื่นๆก็สุดที่จะคาดเดาว่าเป็นเช่นไร

พระเจ้าอยู่ที่สวรรค์ร้อง "อุ๊บ แป้งปั้นดาวดวงนี้มันแห้งไปหน่อยนะ ถล่มบ่อยจัง ดีนะที่เราโยนดอกไม้ไปช่วยเจ้าปิงปองได้ทัน"

(ผลงานเด็ก๐จากนิทานเรื่องนี้)