วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 2 ขนมปังรูปใบหน้า



หลังจากที่พระเจ้าทรงสนุกสนานกับการดูเหตุการณ์ที่เป็นไปในดาวดวงแรกแล้ว วันรุ่งขึ้นพระองค์ยังทรงคิดอะไรไม่ออกว่าจะสนุกกับดาวที่เหลือยังไง จึงนำเศษขนมปังที่มีรูปร่างต่างๆโปรยใส่ดาวต่างๆเล่นไปก่อน พระองค์ไม่ทรงทราบว่าเพราะการทำเช่นนี้ทำให้เกิดสัตว์น้อยใหญ่ซ่อนตัวอยู่ทั่วไป ไม่นานนักพระองค์ทรงคิดออก ทรงนั่งปั้นหน้าตาแบบต่างๆที่ทรงเห็นเหล่าเทวดานางฟ้าทำให้ดูทุกวัน มีทั้งหน้าตายิ้มแย้ม หน้าตาบูดบึ้ง หน้าตาขึ้งโกรธ หรือง่วงเหงาหาวนอน จากนั้นเมื่อได้หน้าต่างๆอยู่หลายแบบแล้ว ก็ทรงโยนลงไปที่ดาวดวงที่สอง แล้วใช้แว่นวิเศษส่องดูว่าจะเกิดอะำไรขึ้น

ในดาวดวงนั้น บังเอิญมีเด็กผู้ชายอยู่คนหนึ่ง หน้าตาเรียบๆ เขากำลังเดินเล่นอยู่ สายตาเหลือบไปเห็นแผ่นใบหน้าที่พระเจ้าโยนมาจากฟ้า มองดูแล้วคิดว่าเป็นหน้ากากให้ใส่เล่น ยกแผ่นหนึ่งขึ้นมาสวมบนหน้า แต่ไม่ได้ดูว่าหน้ากากนั้นแสดงอารมณ์อย่างไร พอติดหน้าได้เท่านั้นแหละ มันถอดไม่ออกเลย โธ่จะทำไงดี เดินไปทั้งๆที่มีหน้ากากติดอยู่ พบลิงตัวหนึ่งเข้า จึงเข้าไปขอร้องให้ช่วยดึงหน้ากากออก ลิงมองเห็นได้แต่วิ่งหนี และไม่ว่าเด็กชายจะเดินไปพบกับตัวอะำไร ทุกตัวต่างวิ่งหนีกันหมด เด็กน้อยได้แต่สงสัยว่า อะำไรหนาที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

ไม่นานเขาก็เดินมาถึงสระน้ำแห่งหนึ่งจึงก้มหน้าลงไปมองดูหน้าตัวเอง อ๋อ ที่แท้หน้ากากนี้กำลังทำหน้าบึ้งแกมโกรธอยู่นี่เอง สัตว์ทุกตัวจึงได้วิ่งหนีเรา ไม่นานนักเด็กก็เดินกลับมาถึงที่เก่าที่เขาพบหน้ากากครั้งแรก ทีนี้ เขาตั้งใจหาหน้ากากที่มีรอยยิ้มอยู่ด้วยแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงคิดว่าแผ่นหน้ากากที่คว่ำอยู่นั้นคือหน้ากากแห่งรอยยิ้ม พอจับได้หน้ากากอันใหม่นั้น อันเก่าบนใบหน้าก็หลุดออกทันที เขารีบหยิบอันใหม่มาสวม คราวนี้ก็ถอดไม่ออกอีก แต่เขามั่นใจว่ามันคือหน้ากากรอยยิ้ม จึงเดินไปขอความช่วยเหลือจากสัตว์ต่างๆอีกเช่นเคย

แต่อนิจจา สัตว์ทุกตัวก็ไม่สนใจใยดีในตัวเขาอีกเช่นเคย มันเป็นหน้าอะไรกันน้า เขาคิด เขา้เดินไปเรื่อยๆจนพบเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กคนนั้นถามว่า "เธอเป็นอะไรไปจ้ะ ทำไมดูเศร้าจัง" คราวนี้เด็กคนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นหน้ากากหน้าตาแบบไหน เมื่อเขามองหน้าเด็กหญิงตรงๆ เขาพบว่าเด็กหญิงยิ้มแป้นอย่างประหลาด จึงถามกลับว่า "แล้วเธอล่ะ ทำไมจึงมีความสุขนัก" เด็กหญิงตอบว่า "ฉันน่ะเหรอ ที่จริงฉันกำลังกลุ้มใจต่างหาก เพราะว่าหน้าที่เธอเห็นอยู่นั้นมันเป็นเพียงหน้ากากที่ฉันพบระหว่างทางแล้วหยิบมาใส่เล่น พระเจ้าต้องทรงทำให้มันกลืนไปกับเนื้อของฉัน ฉันไม่ได้ยิ้มจริงๆหรอก เธอช่วยเอามันออกให้ฉันหน่อยได้ไหม" เด็กชายรู้สึกประหลาดใจที่เด็กหญิงเป็นเหมือนเขา จึงพูดขึ้นว่า "ฉันก็เป็นเหมือนเธอแหละ ฉันไม่ได้เศร้าอย่างที่เธอเห็น แต่รู้สึกกลุ้มใจเหมือนกัน เพราะหน้านี้ก็เป็นหน้ากากที่ฉันเก็บมันมาใส่และถอดไม่ออกเหมือนของเธอนั่นแหละ" จากนั้นทั้งสองต่างช่วยกันดึงหน้ากากให้แก่กัน แต่ว่าไม่เป็นผล

ไม่นานนักทั้งสองได้ยินเสียงๆหนึ่งก้องกังวาลมาจากฟากฟ้า "เจ้าทั้งสองอยากให้หน้ากากหลุดออกมา เจ้าต้องไม่กลุ้มใจ เจ้าทำใจให้เบิกบาน แล้วหน้ากากจะหลุดออกมาเอง" เด็กทั้งสองลองทำอย่างว่าง่าย แล้วหน้ากากก็หลุดออกมาอย่างง่ายๆเช่นเดียวกัน ทีนี้ทั้งสองยิ้มหน้าบานอย่างเป็นสุข และเป็นยิ้มจริงๆของทั้งสองคน ไม่ใช่หน้าตาของหน้ากากอย่างครั้งก่อน
พระเจ้าทอดพระเนตรแล้วก็ทรงแย้มสรวล ตรัสกับพระองค์เองว่า "เด็กๆมักจะซนอย่างนี้เสมอ ถ้าเราไม่ตะโกนบอกเคล็ดลับไปน่ะ ไม่มีวันที่พวกเขาจะได้กลับมาเป็นคนเดิมหรอก" จากนั้นก็เดินไปยังห้องเครื่องเพื่อหาของว่างเสวยต่อไป

(เชิญชมผลงานของเด็กๆ จากนิทานเรื่องนี้)




ไม่มีความคิดเห็น: