วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 3 รูปปั้นของพระเจ้า



แกล้งคนบนดาวดวงที่สองไปแล้ว ทีนี้จะแกล้งใครอีกดี พระเจ้าทรงคิด ขณะที่คิดอยู่นั้น พระองค์ทรงสดับเสียงเด็กๆมากมายที่ชั้นล่างของเมฆ แหมหนวกหูจัง ทรงดำริ "ดีหละ ข้าจะจัดการกับเด็กๆ เทวดาน้อยเหล่านั้นให้ต้องจดจำซะบ้าง" จากนั้นพระองค์ทรงหยิบกล่องใส่กระดาษเช็ดปากของพระองค์ขึ้นมาขยำๆ พร้อมกับท่องคาถาอะไรบางอย่าง "อ่าฮ่า ได้มาแล้ว กล้องถ่ายรูปวิเศษ ทีนี้แหละไอ้เด็กๆจอมหนวกหูทั้งหลาย จะได้เห็นดีกัน" จากนั้นพระองค์ทรงยกกล้องขึ้นมาเล็ง แชะ แชะ ทรงกดชัตเตอร์ แล้วเทวดาองค์น้อยๆที่มีอยู่ซักสิบคนก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆหายไปทีละคนทีละคน เอ๋ทรงทำอะไรกับพวกเด็กๆเหล่านั้นนะ

สักครู่ทรงยกแว่นวิเศษขึ้นส่องดูความเป็นไปบนดาวดวงที่สาม แล้วทรงพระสรวลดังสนั่น ตรัสว่า"สมน้ำหน้า อยากทำให้ข้าเสียสมาธิ สนุกแน่คราวนี้"

ที่ดาวดวงที่สาม มีเด็กชายคนหนึ่งปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่ตามลำพัง ในบ้านมีพร้อมทุกอย่าง เตียงนอน เตาไฟ โต๊ะอาหาร เก้าอี้นั่งเล่น ห้องน้ำ ถึงกระนั้นเด็กน้อยก็ชอบออกไปชมธรรมชาติด้านนอกอยู่ดี มีต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ภูเขา และยังสัตว์น้อยใหญ่อีก เพลิดเพลินไม่รู้เบื่อเลย แต่ทว่าวันนี้เดินออกมายังไม่ทันจะไปไหนเลย มีรูปปั้นอะไรน่ะ มาปรากฏอยู่ตรงลานหน้าบ้านของเราเต็มไปหมด มีทั้งท่านั่ง ท่านอน ท่ายืนเท้าสะเอว ท่ากระโดด และอีกสารพัดท่า แต่งตัวก็คล้ายๆกันหมด ประหลาดจัง ดูไปดูมาหาประโยชน์อะไรไม่ได้ อย่าปล่อยไว้ให้รกเลย เราเอามันไปทิ้งดีกว่า

ยังไม่ทันที่เด็กจะแตะถูกรูปปั้นด้วยซ้ำ พลันก็ได้ยินเสียงดังมาจากฟากฟ้า "อย่าแตะมันนะ" "ตูม!!" เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับควันมากมาย พอควันเริ่มจางหาย เด็กชายก็พบว่า ตนเองไม่มีแขนขาซะแล้ว เด็กชายมองตัวเองอย่างงงงวย แต่ไม่รู้สึกกลัวซักนิด เพียงแต่ว่า... ทำไมขยับตัวไม่ได้ ต้องเป็นเสียงนั้นแน่ๆที่ทำเราแบบนี้

"ทำอะไรกับข้า..." เด็กน้อยร้องตะโกน "เจ้าอยากทำอะไรเล่า ไม่มีแขนขาก็ดีแล้วนี่" แต่ว่าข้ากำลังจะไปกินข้าว ข้าหิว แล้วขยับตัวไม่ได้ ข้าจะทำยังไง" เสียงนั้นตอบว่า "เจ้าก็เข้าไปแตะตัวรูปปั้นที่ทำท่าทางที่เจ้าต้องการ เจ้าก็จะได้ท่าทางนั้นทันที" โชคดีที่ตัวที่ทำท่าเดินอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม ไม่ช้าหลังจากที่เด็กแตะเจ้าตัวนั้นได้แล้ว เด็กสามารถเดินได้ จึงรีบเดินเข้าบ้านเพื่อจะกินอาหารที่เตรียมไว้ แต่อนิจจา นั่งไม่ได้ "อย่าบอกนะว่าเราต้องไปรวมตัวกับไอ้เจ้ารูปปั้นท่านั่งที่เราเห็น" ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ไม่นานเด็กชายก็เกิดความคิดว่า เอารูปปั้นทุกตัวเข้าบ้านเสียเลยดีกว่า เมื่อต้องการใช้ท่าทางแบบไหน ก็จะได้มีให้ใช้ได้ตลอดเวลา เรื่องก็ดำเนินไปตามปกติ จากยืนเป็นเดิน จากเดินเป็นนั่ง แต่พอถึงเวลาที่เด็กอยากนอน "ท่านอนอะไรกันเนี่ย" ท่านอนของรูปปั้นเป็นท่านอนตะแคง "ข้าจะนอนแบบนี้ทั้งคืนได้อย่างไรกัน" เด็กชายถามตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เด็กชายร้องไห้ออกมาเสียงดังมาก จนทำให้พระเจ้าตกใจตื่น "โอ้ขอโทษนะ ข้าไม่อยากแกล้งเจ้าอีกแล้วล่ะ เจ้าอยู่ในท่าเดิน ออกเดินไปที่ธารน้ำที่ใกล้ที่สุด เมื่อเจ้าเห็นพระจันทร์ส่องสว่างสะท้อนพื้นน้ำที่ไหน เจ้าจงเดินลงน้ำไปที่นั่น แล้วเจ้าจะเป็นปกติ"

เด็กในท่าเดิน จึงรีบทำตามคำพูดของพระเจ้า เดินมาไม่นาน พบธารน้ำ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง กำลังส่องสว่างไปทั่วบริเวณ และที่บริเวณหนึ่งบนผิวน้ำ เด็กชายแลเห็นเงาพระจันทร์สุกสว่างอยู่ที่จุดนั้น จึงจำตำแหน่งไว้ แล้วเดินตรงรี่ไปที่นั่น แช่ตัวอยู่พักใหญ่ ก็รู้สึกว่ากลับมาเป็นตัวเองดังเดิม เขาดีใจมาก รีบขึ้นจากน้ำ ตรงไปที่บ้าน อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวนอนอย่างเป็นสุข เขาเกิดเอะใจขึ้นมา จึงมองดูรอบๆ ก็พบว่ารูปปั้นทั้งหลายแหล่ได้อันตธานไปหมดแล้ว

ที่สวรรค์เบื้องบน เหล่าเทวดาน้อย ได้กลับคืนสู่สภาพปกติ ทุกคนได้รับบทเรียนที่ต้องมีตัวแข็งทื่อมาตลอดทั้งวัน จึงกลายเป็นเด็กเรียบร้อยมีระเบียบ และน่ารักขึ้นมาทันที พระเจ้าทรงพอพระทัยมากที่ได้กลับมาสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงคิดว่าได้เวลาบรรทมของพระองค์แล้ว ค่อยหาเรื่องสนุกๆทำใหม่ในวันรุ่งขึ้นดีกว่า

(ผลงานของเด็กๆจากนิทานเรื่องนี้)



ไม่มีความคิดเห็น: