วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 5 เจ้าตัวกลมหลากสี



หลังจากที่พระเจ้าทรงเซ็งกับวันที่ 4 พระองค์ก็ไม่นึกอยากทำอะำไรสนุกๆไปอีกหลายวัน วันหนึ่งพระธิดาของพระองค์ซึ่งยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆได้ทรงมาเข้าเฝ้า ทูลถามพระองค์ว่า " เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันอยากหาของขวัญให้กับเพื่อนของหม่อมฉัน เราเรียนอยู่ห้องเดียวกัน พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดครบ 9 ขวบของเขา แต่หม่อมชั้นไม่ทราบจะให้อะไรเขาดี เพราะว่าเขามีทุกอย่างแล้วเพคะ เสด็จพ่อช่วยหาให้หม่อมฉันหน่อยเพคะ"

ทันทีที่พระเจ้าทรงรับฟังเสร็จ พระองค์ทรงมีความคิดใหม่ๆขึ้นมาทันที "ตอนเย็นหนูมาฟังคำตอบนะ พ่อจะพยายามหาให้" จากนั้น พระองค์ทรงเข้าไปในห้องทำงาน จัดแจงเอากล่องทรงกลม ออกมา 5 ใบ ทรงบรรจงทาสีกล่องทั้ง 5 ให้แตกต่างกัน จากนั้นทรงเปิดฝากล่องออก แล้วทรงใส่แป้งปั้นเป็นหัวและตัวพร้อมทั้งขาสี่ขา โดยไม่มีการตกแต่งใดๆใส่ลงในกล่องทั้ง 5 นั้น

พอตกเย็น พระธิดาเสด็จมาถึงห้องพระบิดา ทรงถามว่า "ไหนล่ะเพคะ ของขวัญ" พระองค์ตรัสตอบว่า "เจ้าเห็นกล่อง 5 ใบนั้นไหม" "เห็นเพคะ"พระธิดาตรัสตอบ "ให้เจ้านำกล่องทั้ง 5 ไปตั้งที่ดาวดวงที่ 5 ของพระบิดา แล้วชวนเพื่อนของเจ้าไปเปิดกล่องทั้ง 5 ที่นั่น แล้วเพื่อนของเจ้าจะต้องแปลกใจ"

วันต่อมาซึ่งเป็นวันเกิดของเพื่อนพระธิดา เขามีรูปร่างอ้วนกลม เขาชื่อว่า"ปิงปอง" พระธิดาได้นำกล่องไปวางยังดาวดวงที่ 5 ก่อนหน้านั้นแล้ว พระองค์ทรงชวนปิงปองไปเที่ยวเล่นในดาวดวงที่ 5 เมื่อถึงที่นั่นกล่องทั้ง 5 ได้รออยู่แล้ว มันมีสีดังนี้ ใบที่ 1 สีชมพู ใบที่ 2 สีน้ำตาล ใบที่ 3 สีเทา ใบที่ 4 สีม่วง ใบที่ 5 เป็นขาวสลับดำ พระธิดาทรงพูดว่า "ในกล่องเหล่านี้มีของขวัญสำหรับเธอ เธอเลือกเปิดดูซิจ๊ะ" ปิงปองไม่ชอบสีชมพูกับสีขาวดำ เขาจึงเลือกเปิดสีน้ำตาลออกมาก่อน แล้วเขาก็แปลกใจที่ เขาเห็นหมีน้อยน่ารักอยู่ในกล่องนั้น มันพูดว่า "น้ำผึ้ง น้ำผึ้ง หม่ำๆ" พระธิดาทรงเตรียมน้ำผึ้งไว้แล้ว จึงทรงหยดเข้าปากมัน จากนั้นตุ๊กตาหมีก็แปลงร่างเป็นเครื่องบินรูปผึ้งที่สวยงามมาก "ฉันชอบจังเลย มันสามารถกระพริบไฟสลับสีได้ด้วย"

แล้วปิงปองก็เลือกเปิดกล่องสีม่วงต่อ ข้างในเป็นตุ๊กตาฮิปโปกำลังอ้าปากกว้างอยู่ ร้องว่า "หญ้า หญ้า หม่ำๆ" พระธิดาเอาหญ้าใส่ปากมัน แล้วมันก็แปลงร่างเป็นอ่างอาบทรงกลมน้ำสีม่วงที่มีฝักบัวอยู่ในตัว ถ้าก้าวลงไป ฝักบัวจะปล่อยน้ำเป็นละอองละเอียดสดชื่นให้ในทันที และเมื่อก้าวออกมามันจะหยุดปล่อยน้ำ แต่จะให้ลมเย็นที่ช่วยให้ตัวแห้งสบาย หนูปิงปองชอบใจมาก จึงรีบเปิดกล่องสีเทาที่แสนจะไม่น่าดูออกมา ข้างในเป็นตุ๊กตารูปแรด มีนอแหลมสองนอ มันร้องว่า "หญ้า หญ้า หญ้า"เหมือนกล่องเมื่อกี้ไม่มีผิด เมื่อพระธิดาเอาหญ้าใส่ปากมัน มันก็คายออกมา และพูดว่า "แห้ง แห้ง แห้ง หม่ำๆ" พระธิดาจึงเอาหญ้าแห้งใส่ปากมัน แล้วมันก็แปลงกายเป็นกระบะทราย ที่ดูจะแห้งแล้งเหมือนตัวมัน แต่เมื่อปิงปองลงไปขุดดู เขาก็พบว่า มีเปลือกหอยสวยๆซ่อนอยู่ในนั้นมากมาย ขุดไม่มีวันหมด และไม่มีเปลือกไหนซ้ำกันเลย เขาชอบใจมาก

เขาเอาเครื่องบินถือไว้ วิ่งร่อนไปมาจนเหนื่อย แล้วลงอ่างอาบน้ำ จากนั้นก็ขุดกระบะทรายเล่น จนลืมกล่องอีกสองกล่องนั้นไปเลย ไม่นำพาเมื่อพระธิดาพูดว่า "เธอ เธอยังมีของขวัญอีกสองกล่องยังไม่เปิดนะ" ปิงปองตอบไปว่า "แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว ไม่ต้องการอะไรอีก ฉันขอบใจเธอมากที่ให้ของขวัญถูกใจฉันที่สุด อีกสองกล่องนั้น ฉันยกให้เธอ" พระธิดาดีพระทัยมากรีบกลับบ้านเอาของไปอวดพระบิดา

เมื่อถึงปราสาท พระธิดารีบเปิดกล่องสีชมพูออกต่อหน้าพระบิดา ข้างในเป็นตุ๊กตาหมูน้อยตัวเล็กๆสีชมพูผูกคอด้วยโบว์สีแดงสวยงามมาก "ทำไมมันไม่ร้องล่ะเพคะ" พระเจ้าทรงแย้มสรวลแล้วทรงบอกให้พระธิดาเปิดอีกกล่องออกดู กล่องสีขาวดำเมื่อเปิดออกมา ก็พบตุ๊กตาหมีแพนด้าที่น่ารักทีี่สุดในโลก พระธิดาหลงรักมันทั้งสองมาก แต่ก็ไม่ร้องเหมือนกันทั้งคู่ พระธิดาทรงสงสัยมาก จึงถามพระบิดาเป็นครั้งที่สองว่าทำไมเป็นเช่นนั้น

พระบิดาจำต้องพูดความจริง "พ่อน่ะ ตั้งคาถาไว้ให้เฉพาะปิงปองเท่านั้นที่เปิดกล่องออกแล้วตุ๊กตาจะมีเสียงร้อง ส่วนที่มันสามารถแปลงกายเป็นของเล่นได้นั้น เพราะมันอยู่ในโลกของดาวดวงที่ 5 ซึ่งเป็นดาวที่ของไม่มีชีวิตหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นของไม่มีชีวิตอีกอันหนึ่งที่ถูกใจคนที่แตะต้องมัน ดังนั้น ถ้าหนูต้องการรู้ว่ามันเป็นอะไร หนูต้องพาปิงปองไปที่ดาวดวงนั้น เพื่อดูว่ามันจะเปลี่ยนเป็นอะไร แต่พระธิดาทรงรักตุ๊กตาหมูและหมีแพนด้ามาก จึงทรงดำริที่จะไม่ไปดาวดวงนั้นเพื่อเปลี่ยนมันเป็นอะไรอีก ทรงพอพระทัยอยู่แล้ว เพราะทรงเล่นกับตุ๊กตาทั้งสองตัวได้ไม่รู้เบื่อเลย และเรื่องของดาวดวงที่ 5 ก็จบเพียงเท่านี้

(ผลงานของเด็กๆจากนิทานเรื่องนี้)



วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 4 หมา แมว นก



พระเจ้าไม่ทรงรู้สึกเบื่อกับการหาเรื่องสนุกๆใส่ตัว หรือน่าจะพูดว่าใส่ดวงดาวต่างหาก วันนี้เป็นวันที่สี่แล้ว หลังจากทรงตื่นจากบรรทม ก็เรียกหาเหล่าคนรับใช้ แต่ทว่าไม่มีใครปรากฏตัวเลย ทรงเรียกอยู่นานกว่าจะรู้สึกพระองค์ว่า เพราะพระองค์ตื่นสายทำให้ไม่มีใครรอไหว จึงหันไปทำงานอื่นกันหมด "ไม่ง้อก็ได้" พระองค์ทรงคิด เราปั้นแป้งมาเป็นตัวรับใช้เราสักตัว

จึงปั้นเป็นตัวสี่ขาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีหูแหลมยาวปรกลงมาเล็กน้อย มีหางด้วย "เออ ไอ้ตัวนี้มันน่ารักดี เราเรียกมันว่า หมา ก็แล้วกัน"มันเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาทันที ฉลาด และมีเสียงดังมาก "เจ้าไปตามพวกคนรับใช้ข้ามาทีซิ" ได้ยินคำสั่งมันรีบวิ่งออกไป ส่งเสียงดัง"โฮ่ง โฮ่ง" หาไปทั่วทั้งสวรรค์ ไม่พบใคร สุดท้ายพบนายประตูหูตึง ถามยังไงก็ตอบไม่ตรงคำถาม จึงต้องเน้นย้ำเป็นคำๆ ทำให้หมาตัวนี้เกิดอาการที่เรียกว่า "เห่า" นายประตูตอบว่า "ลองไปหาที่ดาวดวงที่สี่ ที่อยู่สุดทางขาวๆนี่ เราเรียกทางนี้ว่าทางช้างเผือก พวกเขาอาจจะไปอยู่กันที่นั่น เพื่อชื่นชมดาวดวงใหม่ ปรากฏว่าหมาของเรา วิ่งไปจนถึงดาวนั้น เหนื่อยจนลิ้นห้อย กลายเป็นอาการประจำตัวไป ไปถึงก็ไม่พบใคร ก็เลยไม่คิดอยากกลับ คิดว่าต้องหาใครให้เจอ ไม่งั้นไม่กล้ากลับไปหาพระเจ้าอีก

ฝ่ายพระเจ้า เมื่อรอนานไม่เห็นว่าหมาจะกลับมา จึงปั้นสัตว์ขึ้นมาอีกตัว มีรูปร่างคล้ายกันแต่ตัวเล็กกว่า เพื่อให้ปราดเปรียวคล่องแคล่ว หูนั้นสั้นกว่า แต่มีหางยาว และมีอุ้งเท้าเบา "ไปตามเจ้าหมากลับมาหาข้าหน่อยนะ เราเรียกเจ้าว่าแมวก็แล้วกัน ไป ไปเลย" แล้วแมวก็กระโจนออกจากระเบียงไปทันที แต่โอ้พระเจ้า ระเบียงหัก แมวจึงกระโดดพลาด ทิ้งตัวดิ่งตกจากสวรรค์ไปหลายชั้น พระเจ้ารีบเสกคาถา ช่วยแมวให้รอดชีวิต แต่ก็ช่วยไว้ไม่ทัน พระเจ้าทรงเหาะลงไปรับศพแมวขึ้นมายังปราสาท ทรงรู้สึกเศร้ามาก จึงเนรมิตชีวิตให้แมวขึ้นใหม่ และกล่าวว่า "แมวเอ๋ย เพื่อชดใช้ที่ข้าไม่ดูแลซ่ิอมแซมระเบียง ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตใหม่ถึงเก้าชีวิต" นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้แมวมีเก้าชีวิตจนทุกวันนี้ "เจ้าแมว เจ้าไปตามหมาให้ข้าหน่อย ข้ารู้สึกเป็นห่วงมัน" จากนั้นแมวผู้ซื่อสัตย์ก็ตามกลิ่นหมาไปเรื่อยๆจนถึงดาวดวงที่สี่ มันเหนื่อยมาก จึงตั้งใจพักอยู่ที่นั่นก่อน พร้อมๆกับตามรอยหมาไปเรื่อยๆ

พระเจ้ารู้สึกว่าแมวไปนานผิดสังเกตมาก ทรงดำริว่าน่าจะเป็นเพราะความสามารถในการเดินทาง ทรงดำริว่าแม้ว่าทั้งสองตัวนั้นมันมีขาถึงสี่ขาก็ยังไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่ อย่ากระนั้นเลย เราปั้นเจ้าตัวใหม่อีกตัวดีกว่า เพื่อให้ไปตามไอ้สองตัวนั้นโดยเฉพาะ เพราะีคนรับใช้เรา เขาก็กลับกันมาหมดแล้ว สัตว์ตัวใหม่นี้ พระเจ้า ทำให้ขามันเหลือแค่สองขา และมีขนาดเพียงนิดเดียว แต่ให้มีือสองข้างกลายเป็นปีกที่แผ่กว้างออกได้ ไม่ต้องเดิน แต่สามารถบินไปในอากาศได้ไกลในเวลาที่รวดเร็วกว่าสัตว์สองตัวแรกหลายเท่า เรียกส่วนนี้ว่า "ปีก" หนำซ้ำยังให้ลักษณะพิเศษสามารถจำทางกลับมาหาเจ้าของได้แม่นยำด้วย "แกชื่อเจ้า นก ก็แล้วกัน" พระเจ้าพูด

นกได้บินออกเดินทางไปถึงดาวดวงที่สี่อย่างรวดเร็ว แต่อนิจจา แม้ว่ามันจะกลับบ้านได้ แต่เมื่อมาถึงดาวดวงนี้ ซึ่งเป็นดาวที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์มาก มันก็ไม่นึกอยากกลับแล้ว ที่สำคัญพระเจ้าไม่ได้ให้นิสัยของความซื่อสัตย์ติดตัวนกมาด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงลืม "เราอ้างกับพระเจ้าว่าเราหาแมวกับหมาไม่เจอก็แล้วกัน" นกคิด และิอยู่ที่นั่นต่ออย่างไม่อนาทรร้อนใจ
พระเจ้าที่น่าสงสาร คราวนี้พระองค์ไม่สนุกเลย เพราะรอเท่าไรก็ไม่ปรากฏว่าสัตว์ทั้งสามจะกลับมาหาพระองค์เลย คนสนิทของพระเจ้าซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆพระองค์ เห็นว่าพระองค์ทรงหงอย จึงทูลเล่นกับพระองค์ว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงใช้แว่นวิเศษส่องดูดาวดวงนั้นหน่อยหรือพระเจ้าข้า ว่ามันเกิดอะำไรขึ้น" คำพูดนี้ทำให้พระองค์ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงทรงไปคว้าแว่นวิเศษมาส่องดู ก็พบว่า ทั้งหมา แมว และนก ต่างขยายพันธุ์ของตัวเองออกไปมากมายหลายชนิด แต่ยังคงลักษณะเด่นของตัวเองเอาไว้

(ผลงานของเด็กจากนิทานเรื่องนี้)




วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 3 รูปปั้นของพระเจ้า



แกล้งคนบนดาวดวงที่สองไปแล้ว ทีนี้จะแกล้งใครอีกดี พระเจ้าทรงคิด ขณะที่คิดอยู่นั้น พระองค์ทรงสดับเสียงเด็กๆมากมายที่ชั้นล่างของเมฆ แหมหนวกหูจัง ทรงดำริ "ดีหละ ข้าจะจัดการกับเด็กๆ เทวดาน้อยเหล่านั้นให้ต้องจดจำซะบ้าง" จากนั้นพระองค์ทรงหยิบกล่องใส่กระดาษเช็ดปากของพระองค์ขึ้นมาขยำๆ พร้อมกับท่องคาถาอะไรบางอย่าง "อ่าฮ่า ได้มาแล้ว กล้องถ่ายรูปวิเศษ ทีนี้แหละไอ้เด็กๆจอมหนวกหูทั้งหลาย จะได้เห็นดีกัน" จากนั้นพระองค์ทรงยกกล้องขึ้นมาเล็ง แชะ แชะ ทรงกดชัตเตอร์ แล้วเทวดาองค์น้อยๆที่มีอยู่ซักสิบคนก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆหายไปทีละคนทีละคน เอ๋ทรงทำอะไรกับพวกเด็กๆเหล่านั้นนะ

สักครู่ทรงยกแว่นวิเศษขึ้นส่องดูความเป็นไปบนดาวดวงที่สาม แล้วทรงพระสรวลดังสนั่น ตรัสว่า"สมน้ำหน้า อยากทำให้ข้าเสียสมาธิ สนุกแน่คราวนี้"

ที่ดาวดวงที่สาม มีเด็กชายคนหนึ่งปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่ตามลำพัง ในบ้านมีพร้อมทุกอย่าง เตียงนอน เตาไฟ โต๊ะอาหาร เก้าอี้นั่งเล่น ห้องน้ำ ถึงกระนั้นเด็กน้อยก็ชอบออกไปชมธรรมชาติด้านนอกอยู่ดี มีต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ภูเขา และยังสัตว์น้อยใหญ่อีก เพลิดเพลินไม่รู้เบื่อเลย แต่ทว่าวันนี้เดินออกมายังไม่ทันจะไปไหนเลย มีรูปปั้นอะไรน่ะ มาปรากฏอยู่ตรงลานหน้าบ้านของเราเต็มไปหมด มีทั้งท่านั่ง ท่านอน ท่ายืนเท้าสะเอว ท่ากระโดด และอีกสารพัดท่า แต่งตัวก็คล้ายๆกันหมด ประหลาดจัง ดูไปดูมาหาประโยชน์อะไรไม่ได้ อย่าปล่อยไว้ให้รกเลย เราเอามันไปทิ้งดีกว่า

ยังไม่ทันที่เด็กจะแตะถูกรูปปั้นด้วยซ้ำ พลันก็ได้ยินเสียงดังมาจากฟากฟ้า "อย่าแตะมันนะ" "ตูม!!" เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับควันมากมาย พอควันเริ่มจางหาย เด็กชายก็พบว่า ตนเองไม่มีแขนขาซะแล้ว เด็กชายมองตัวเองอย่างงงงวย แต่ไม่รู้สึกกลัวซักนิด เพียงแต่ว่า... ทำไมขยับตัวไม่ได้ ต้องเป็นเสียงนั้นแน่ๆที่ทำเราแบบนี้

"ทำอะไรกับข้า..." เด็กน้อยร้องตะโกน "เจ้าอยากทำอะไรเล่า ไม่มีแขนขาก็ดีแล้วนี่" แต่ว่าข้ากำลังจะไปกินข้าว ข้าหิว แล้วขยับตัวไม่ได้ ข้าจะทำยังไง" เสียงนั้นตอบว่า "เจ้าก็เข้าไปแตะตัวรูปปั้นที่ทำท่าทางที่เจ้าต้องการ เจ้าก็จะได้ท่าทางนั้นทันที" โชคดีที่ตัวที่ทำท่าเดินอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม ไม่ช้าหลังจากที่เด็กแตะเจ้าตัวนั้นได้แล้ว เด็กสามารถเดินได้ จึงรีบเดินเข้าบ้านเพื่อจะกินอาหารที่เตรียมไว้ แต่อนิจจา นั่งไม่ได้ "อย่าบอกนะว่าเราต้องไปรวมตัวกับไอ้เจ้ารูปปั้นท่านั่งที่เราเห็น" ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ไม่นานเด็กชายก็เกิดความคิดว่า เอารูปปั้นทุกตัวเข้าบ้านเสียเลยดีกว่า เมื่อต้องการใช้ท่าทางแบบไหน ก็จะได้มีให้ใช้ได้ตลอดเวลา เรื่องก็ดำเนินไปตามปกติ จากยืนเป็นเดิน จากเดินเป็นนั่ง แต่พอถึงเวลาที่เด็กอยากนอน "ท่านอนอะไรกันเนี่ย" ท่านอนของรูปปั้นเป็นท่านอนตะแคง "ข้าจะนอนแบบนี้ทั้งคืนได้อย่างไรกัน" เด็กชายถามตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เด็กชายร้องไห้ออกมาเสียงดังมาก จนทำให้พระเจ้าตกใจตื่น "โอ้ขอโทษนะ ข้าไม่อยากแกล้งเจ้าอีกแล้วล่ะ เจ้าอยู่ในท่าเดิน ออกเดินไปที่ธารน้ำที่ใกล้ที่สุด เมื่อเจ้าเห็นพระจันทร์ส่องสว่างสะท้อนพื้นน้ำที่ไหน เจ้าจงเดินลงน้ำไปที่นั่น แล้วเจ้าจะเป็นปกติ"

เด็กในท่าเดิน จึงรีบทำตามคำพูดของพระเจ้า เดินมาไม่นาน พบธารน้ำ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง กำลังส่องสว่างไปทั่วบริเวณ และที่บริเวณหนึ่งบนผิวน้ำ เด็กชายแลเห็นเงาพระจันทร์สุกสว่างอยู่ที่จุดนั้น จึงจำตำแหน่งไว้ แล้วเดินตรงรี่ไปที่นั่น แช่ตัวอยู่พักใหญ่ ก็รู้สึกว่ากลับมาเป็นตัวเองดังเดิม เขาดีใจมาก รีบขึ้นจากน้ำ ตรงไปที่บ้าน อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวนอนอย่างเป็นสุข เขาเกิดเอะใจขึ้นมา จึงมองดูรอบๆ ก็พบว่ารูปปั้นทั้งหลายแหล่ได้อันตธานไปหมดแล้ว

ที่สวรรค์เบื้องบน เหล่าเทวดาน้อย ได้กลับคืนสู่สภาพปกติ ทุกคนได้รับบทเรียนที่ต้องมีตัวแข็งทื่อมาตลอดทั้งวัน จึงกลายเป็นเด็กเรียบร้อยมีระเบียบ และน่ารักขึ้นมาทันที พระเจ้าทรงพอพระทัยมากที่ได้กลับมาสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงคิดว่าได้เวลาบรรทมของพระองค์แล้ว ค่อยหาเรื่องสนุกๆทำใหม่ในวันรุ่งขึ้นดีกว่า

(ผลงานของเด็กๆจากนิทานเรื่องนี้)



วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ตอนที่ 2 ขนมปังรูปใบหน้า



หลังจากที่พระเจ้าทรงสนุกสนานกับการดูเหตุการณ์ที่เป็นไปในดาวดวงแรกแล้ว วันรุ่งขึ้นพระองค์ยังทรงคิดอะไรไม่ออกว่าจะสนุกกับดาวที่เหลือยังไง จึงนำเศษขนมปังที่มีรูปร่างต่างๆโปรยใส่ดาวต่างๆเล่นไปก่อน พระองค์ไม่ทรงทราบว่าเพราะการทำเช่นนี้ทำให้เกิดสัตว์น้อยใหญ่ซ่อนตัวอยู่ทั่วไป ไม่นานนักพระองค์ทรงคิดออก ทรงนั่งปั้นหน้าตาแบบต่างๆที่ทรงเห็นเหล่าเทวดานางฟ้าทำให้ดูทุกวัน มีทั้งหน้าตายิ้มแย้ม หน้าตาบูดบึ้ง หน้าตาขึ้งโกรธ หรือง่วงเหงาหาวนอน จากนั้นเมื่อได้หน้าต่างๆอยู่หลายแบบแล้ว ก็ทรงโยนลงไปที่ดาวดวงที่สอง แล้วใช้แว่นวิเศษส่องดูว่าจะเกิดอะำไรขึ้น

ในดาวดวงนั้น บังเอิญมีเด็กผู้ชายอยู่คนหนึ่ง หน้าตาเรียบๆ เขากำลังเดินเล่นอยู่ สายตาเหลือบไปเห็นแผ่นใบหน้าที่พระเจ้าโยนมาจากฟ้า มองดูแล้วคิดว่าเป็นหน้ากากให้ใส่เล่น ยกแผ่นหนึ่งขึ้นมาสวมบนหน้า แต่ไม่ได้ดูว่าหน้ากากนั้นแสดงอารมณ์อย่างไร พอติดหน้าได้เท่านั้นแหละ มันถอดไม่ออกเลย โธ่จะทำไงดี เดินไปทั้งๆที่มีหน้ากากติดอยู่ พบลิงตัวหนึ่งเข้า จึงเข้าไปขอร้องให้ช่วยดึงหน้ากากออก ลิงมองเห็นได้แต่วิ่งหนี และไม่ว่าเด็กชายจะเดินไปพบกับตัวอะำไร ทุกตัวต่างวิ่งหนีกันหมด เด็กน้อยได้แต่สงสัยว่า อะำไรหนาที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

ไม่นานเขาก็เดินมาถึงสระน้ำแห่งหนึ่งจึงก้มหน้าลงไปมองดูหน้าตัวเอง อ๋อ ที่แท้หน้ากากนี้กำลังทำหน้าบึ้งแกมโกรธอยู่นี่เอง สัตว์ทุกตัวจึงได้วิ่งหนีเรา ไม่นานนักเด็กก็เดินกลับมาถึงที่เก่าที่เขาพบหน้ากากครั้งแรก ทีนี้ เขาตั้งใจหาหน้ากากที่มีรอยยิ้มอยู่ด้วยแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงคิดว่าแผ่นหน้ากากที่คว่ำอยู่นั้นคือหน้ากากแห่งรอยยิ้ม พอจับได้หน้ากากอันใหม่นั้น อันเก่าบนใบหน้าก็หลุดออกทันที เขารีบหยิบอันใหม่มาสวม คราวนี้ก็ถอดไม่ออกอีก แต่เขามั่นใจว่ามันคือหน้ากากรอยยิ้ม จึงเดินไปขอความช่วยเหลือจากสัตว์ต่างๆอีกเช่นเคย

แต่อนิจจา สัตว์ทุกตัวก็ไม่สนใจใยดีในตัวเขาอีกเช่นเคย มันเป็นหน้าอะไรกันน้า เขาคิด เขา้เดินไปเรื่อยๆจนพบเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กคนนั้นถามว่า "เธอเป็นอะไรไปจ้ะ ทำไมดูเศร้าจัง" คราวนี้เด็กคนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นหน้ากากหน้าตาแบบไหน เมื่อเขามองหน้าเด็กหญิงตรงๆ เขาพบว่าเด็กหญิงยิ้มแป้นอย่างประหลาด จึงถามกลับว่า "แล้วเธอล่ะ ทำไมจึงมีความสุขนัก" เด็กหญิงตอบว่า "ฉันน่ะเหรอ ที่จริงฉันกำลังกลุ้มใจต่างหาก เพราะว่าหน้าที่เธอเห็นอยู่นั้นมันเป็นเพียงหน้ากากที่ฉันพบระหว่างทางแล้วหยิบมาใส่เล่น พระเจ้าต้องทรงทำให้มันกลืนไปกับเนื้อของฉัน ฉันไม่ได้ยิ้มจริงๆหรอก เธอช่วยเอามันออกให้ฉันหน่อยได้ไหม" เด็กชายรู้สึกประหลาดใจที่เด็กหญิงเป็นเหมือนเขา จึงพูดขึ้นว่า "ฉันก็เป็นเหมือนเธอแหละ ฉันไม่ได้เศร้าอย่างที่เธอเห็น แต่รู้สึกกลุ้มใจเหมือนกัน เพราะหน้านี้ก็เป็นหน้ากากที่ฉันเก็บมันมาใส่และถอดไม่ออกเหมือนของเธอนั่นแหละ" จากนั้นทั้งสองต่างช่วยกันดึงหน้ากากให้แก่กัน แต่ว่าไม่เป็นผล

ไม่นานนักทั้งสองได้ยินเสียงๆหนึ่งก้องกังวาลมาจากฟากฟ้า "เจ้าทั้งสองอยากให้หน้ากากหลุดออกมา เจ้าต้องไม่กลุ้มใจ เจ้าทำใจให้เบิกบาน แล้วหน้ากากจะหลุดออกมาเอง" เด็กทั้งสองลองทำอย่างว่าง่าย แล้วหน้ากากก็หลุดออกมาอย่างง่ายๆเช่นเดียวกัน ทีนี้ทั้งสองยิ้มหน้าบานอย่างเป็นสุข และเป็นยิ้มจริงๆของทั้งสองคน ไม่ใช่หน้าตาของหน้ากากอย่างครั้งก่อน
พระเจ้าทอดพระเนตรแล้วก็ทรงแย้มสรวล ตรัสกับพระองค์เองว่า "เด็กๆมักจะซนอย่างนี้เสมอ ถ้าเราไม่ตะโกนบอกเคล็ดลับไปน่ะ ไม่มีวันที่พวกเขาจะได้กลับมาเป็นคนเดิมหรอก" จากนั้นก็เดินไปยังห้องเครื่องเพื่อหาของว่างเสวยต่อไป

(เชิญชมผลงานของเด็กๆ จากนิทานเรื่องนี้)




วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานหอศิลป์ ปี 53 ตอนที่ 1


 กำเนิดวงกลม

ในโลกแห่งจินตนาการ หลังจากที่พระเจ้า เตรียมพื้นที่ด้วยจักรวาลอันกว้างใหญ่แล้ว พระองค์ทรงรู้สึกเหนื่อย จึงบรรทมพักผ่อน หลังจากตื่นจากบรรทม ทรงหิว คนรับใช้ได้นำขนมปังกลมๆมาถวาย พร้อมกับซุปและอาหารอื่นๆ เมื่อทรงอิ่มหนำสำราญพระทัยดีแล้ว ทรงดำริจะสร้างสิ่งต่างๆให้ล่องลอยอยู่ในจักรวาล

ทีแรกทรงนึกไม่ออก แต่เมื่อทรงเห็นขนมปังกลมๆ พระองค์จึงทรงนำแป้งมาปั้นเป็นลูกกลมๆ หลากสีสัน โยนไปในจักรวาล มีทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่ บางลูกทรงโรยด้วยน้ำตาลทรายระยิบระยับ บางลูกทรงเอาสีแต้มเป็นแถบบ้างเป็นจุดบ้าง หรือทรงนึกสนุก ก็ทรงเอาซ่อมจิ้มเป็นรูๆบ้าง สิ่งกลมๆที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล ดูสวยงามมาก ทรงพอพระทัยเป็นที่สุด ทรงเรียกลูกกลมๆเหล่านั้นว่า"ดวงดาว" ทรงชื่นชมมองดวงดาวอยู่ทุกวัน จนนานเข้า พระองค์ทรงเบื่อ จึงทรงดำริหาเรื่องสนุกๆที่จะทำต่อไป ทรงคิดว่า "สำหรับดาวดวงแรก เรายังคิดอะไรไม่ออก ขอโยนขนมกลมๆกับเศษขนมปังลงไปเล่นดูก่อน อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น" จากนั้นทรงไปหาแว่นขยายวิเศษมา ส่องดู ทรงพบเรื่องราวดังต่อไปนี้

วงกลมวงนั้น กลิ้งไปมาอย่างสนุกสนาน นานเข้ารู้สึกเบื่อ เพราะตัวเองทำอะไรไม่ได้ นอกจากกลิ้งและเด้งไปมา สีสันบนตัวก็ไม่มี โธ๋ชีวิตช่างจืดชืดและน่าเบื่อเสียเหลือเกิน มันคิด "เราจะลองกลิ้งจากยอดเขาที่สูงที่สุดในแผ่นดินนี้ไปลงทะเลดูดีกว่า ว่าจะเกิดอะไรขึ้น" แล้วมันก็กลิ้งตัวเองไปถึงยอดเขาที่ว่า จากนั้นก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่กลิ้งลงมาหล่นตุ๊บอย่างแรงลงทะเลไป

ลอยอยู่ไม่นานได้ขึ้นไปที่เกาะแห่งหนึ่ง เห็นกระต่ายตัวหนึ่งกระโดดไปกระโดดมา เห็นแล้วมีความสุขมาก เพราะตัวมันมีสีสัน แถมมีหูยาวๆ หางฟู ดูไม่เบื่อ กระต่ายทักทายวงกลมว่า "สวัสดี ขอต้อนรับท่านผู้มาใหม่เข้าสู่ดินแดนแห่งการรวมตัว" "เป็นยังไงนะ"วงกลมถาม "ที่นี่เราทุกคนชอบเล่นรวมตัวกัน วันไหนที่เราเบื่อตัวเอง เราจะไปรวมกับอีกคนหนึ่ง ทำให้มีรูปร่างใหม่เกิดขึ้น" "จริงเหรอนี่ ฉันอยากรวมตัวกับเธอดูบ้้าง"วงกลมพูด "ได้เลย" กระต่ายตอบ จากนั้นทั้งสองก็กระโดดเข้ารวมตัวกัน เกิดเป็นกระต่ายทรงกลมที่ดูน่าขันที่สุดในโลก ไม่นานเพื่อนๆชาวเกาะตัวอื่นๆ ต่างก็นึกสนุกพากันมารวมตัวร่วมกับวงกลม เกิดเป็นสิ่งแปลกๆมากมาย

พระเจ้าทอดพระเนตรแล้ว ทรงหัวเราะอย่างขบขัน "โอ เราชอบดาวดวงแรกของเราจริงๆเลย เอ้าเด็กๆมาถ่ายรูปเจ้าตัวประหลาดพวกนี้เอาไว้แสดงอวดนางฟ้าเทวดาให้ดูกันหน่อยซิ" สำหรับวันแรกของการสร้างดาวของพระเจ้า ก็จบเพียงเท่านี้

หมายเหตุ นิทานนี้แต่งขึ้นเพื่อประกอบการสอนวาดการ์ตูนที่หอศิลป์เจ้าฟ้า ให้กับเด็กประถมหนึ่งถึงสามในวันรุ่งขึ้น

(ด้านล่างนี้คือตัวอย่างผลงานเด็กๆ หลังจากฟังนิทานเรื่องนี้)




วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

การวาดอารมณ์ต่างๆทางใบหน้าการ์ตูน


เริ่มด้วยหน้ากลมๆของการ์ตูน จากนั้นตอนเติมหน้าตา ก็ให้สังเกตอารมณ์ของตัวอย่าง แล้ววาดตาม