วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

หมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 9



“ดวงพระเนตร ยังไงละ! เป็นส่วนสำคัญที่สุด แม้จะเป็นจุดเล็กน้อยมากในภาพ แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้เรารู้สึกถึงพระหทัยของราชินีเรา ในขณะที่เรายืนดูภาพของหมู่บ้านสีน้ำอยู่นั้น เราเหมือนอยู่ในภวังค์ เผลอคิดไปว่าราชินีได้ประทับอยู่กับเราจริงๆ ดุจภาพที่มีชีวิต จนเรามิสามารถกล่าวคำพูดใดๆ ออกมาได้ ผู้ที่เห็นความสำคัญของจุดเล็กๆ เช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และความเป็นศิลปินอย่างสูง ฉะนั้น หมู่บ้านสีน้ำจึงควรเป็นผู้ชนะ”
เสียงตบมือดังกึกก้องเป็นเวลายาวนาน ทุกหมู่บ้านต่างมาร่วมแสดงความยินดีกับหมู่บ้านสีน้ำ
“มิน่าล่ะ! เห็นลุงพู่กันกระซิบอะไรกับน้องดำ ที่แท้ก็...” พี่ๆ ทั้งสี่ก็ผลัดกันอุ้มผลัดกันให้น้องดำขี่คอด้วยความดีใจ และภูมิใจในตัวน้องดำ น้องคนสุดท้อง
“เห็นมั้ยล่ะ! ผมก็สามารถช่วยพวกพี่ๆ ได้เหมือนกัน” น้องดำพูดด้วยความกระหยิ่มใจ
ลุงพู่กันได้กล่าวให้ข้อคิดแก่พี่น้องทั้งห้าว่า...
“ลุงคิดว่า การที่เราประสบความสำเร็จในวันนี้ ก็เพราะพวกเรามีความรักความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันใช้ทั้งพละกำลังและสติปัญญาในการแก้ปัญหา และที่สำคัญคือ เราจะต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองและอย่ามองข้ามความสามารถของผู้อื่นด้วย ”.

หมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 8


เสียงแตรมหาดเล็กดังขึ้น...
“ขณะนี้การประกวดภาพวาดพระราชินีเฉลิมพระชนมายุ เจ็ดสิบสองพรรษา ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ผลการตัดสินปรากฏว่าผู้ที่ชนะการประกวดคือหมู่บ้าน...”
ทุกหมู่บ้านใจจดใจจ่อรอฟังผลด้วยความระทึกใจ
“หมู่บ้าน...หมู่บ้านสีน้ำ”
“ไชโยๆ! พวกเราทำได้ พวกเราทำได้สำเร็จแล้ว ไชโยๆๆ! แต่เอ...” พี่น้องทั้งสี่ต่างดีใจ แต่ก็ยังรู้สึกงุนงงกับคำตัดสิน
“เราชนะภาพของหมู่บ้านอื่นได้อย่างไรนะ? ในขณะที่พระราชาเสด็จผ่านก็มิได้ทรงตรัสชื่นชมอะไรเลยสักคำ” เป็นคำถามที่ชวนสงสัยเช่นเดียวกับหมู่บ้านอื่นๆ เสียงพูดต่อๆ กันเริ่มจะดังขึ้นเป็นลำดับ
“เอาละๆ! เราเข้าใจพวกท่านดี ดังนั้นเราจะอธิบายเหตุผลให้ฟังว่าทำไมเราจึงให้หมู่บ้านสีน้ำเป็นผู้ชนะ” พระราชาตรัสขึ้นในที่สุด
“ทุกหมู่บ้านมีความสามารถสูงมาก ต่างวาดภาพได้เสมือนจริงมาก จนเราแทบจะรู้สึกว่า พระราชินีมาประทับเคียงข้าง เราคราเดียวหลายพระองค์ ขึ้นอยู่กับแต่ละภาพ แต่ละอิริยาบถ ถึงกระนั้นก็ตาม เราเองก็ยังมีความรู้สึกว่ายังขาดอะไรไปอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเราก็ค้นพบมันในภาพของ หมู่บ้านสีน้ำ”
“แล้วสิ่งนั้นคืออะไรพระเจ้าข้า!” เสียงทุกหมู่บ้านถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน

หมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 7


ครั้นได้เวลาการตัดสิน พระราชาเสด็จพร้อมคณะกรรมการผู้ตัดสิน ทรงทอดพระเนตรผลงานของแต่ละหมู่บ้านอย่างพินิจพิจารณา
“อืม! ผลงานของหมู่บ้านสีไม้นี้ ทำให้เราคิดถึงพระราชินีเมื่อตอนอภิเษกสมรส ช่างดูอ่อนหวานเสียจริง”
“ของหมู่บ้านสีเทียนนี่ก็หนักแน่นเข้ากับรูปพระราชินีในพระอิริยาบถทรงงาน ทำให้เราคิดถึงยามที่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน”
“ส่วนของสีชอล์คนี่ ให้สีสันดูมีความสุขเสมือนครอบครัวอันแสนอบอุ่นของเรา”
พระราชาได้กล่าวชม ซึ่งแต่ละหมู่บ้านต่างก็รู้สึกดีใจและคิดว่าภาพของตัวเองน่าจะมีสิทธิ์ชนะในการแข่งขัน พระราชาได้เสด็จมาจนกระทั่งถึงภาพของหมู่บ้านสีน้ำ พระองค์ทรงหยุดนิ่งพิจารณาภาพอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็มิได้ตรัสหรือกล่าวคำติชมใดๆออกมา ทรงเสด็จกลับไปยังพลับพลา
ที่ประทับ ทำให้พี่น้องทั้งห้า รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
“พี่เอง พี่คงทำให้รูปมันสดเกินไปเป็นแน่” พี่แดงเอ่ยขึ้น
“ไม่หรอก คงเป็นเพราะผมแน่เลย ผมคงทำให้ส่วนอื่นๆ เข้มเกินไป” น้ำเงินพูดด้วยความผิดหวัง
“ฉันต่างหาก พี่ๆทั้งสองมิใช่ส่วนใหญ่ของภาพ” เหลืองน้องสาวคนเล็กสำทับ
“ทั้งหมดไม่มีใครผิดหรอก พี่เองเป็นคนทำให้เกิดโทนสีต่างๆ ส่วนผสมของพี่คงไม่ดีพอ พี่คงต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว” ขาวพี่ชายคนโต พูดอย่างสำนึกผิด
ขณะที่ทั้งสี่กำลังวิตกกังวลอยู่นั้น ท่าทีของลุงพู่กันกลับสงบนิ่งและพูดกับดำว่า “หลานดำ เจ้าทำได้ดีมาก!”

หมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 6


จวบจนใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน พี่น้องทั้งสี่ก็ได้ทำงานจนเสร็จ ทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มดีใจ เพราะรูปที่ออกมานั้น ดูมีชีวิตชีวาสมจริงมาก มีเพียงแต่ลุงพู่กันเท่านั้นที่ดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก เพราะจากอายุและประสบการณ์ของลุง ทำให้ลุงรำพึงรำพันในใจว่า “เอ! ทุกอย่างก็น่าจะดูดี เกือบจะสมบูรณ์แล้ว แต่ขาดอะไรไปบางอย่างนะ?”ว่าแล้วลุงพู่กันก็เกิดความคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
“หลานดำๆ มาหาลุงหน่อยสิ!”
“ครับผม! ลุงเรียกผมทำไมครับ?”
ลุงพู่กันกระซิบที่ข้างหูดำ และพูดอะไรบางอย่าง น้องดำแอบยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ครับ! ลุง ผมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เลยครับ”

หมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 5


ทางด้านหมู่บ้านสีน้ำ ทั้งขาว แดง น้ำเงิน เหลืองต่างก็ทำหน้าที่ของเอง แต่ก็ไม่วายเกิดปัญหาขึ้น
“นี่ๆ พวกเธออย่ามาทำส่วนสีขาวของฉันเลอะเทอะนะ ดูสิ เป็นจุดเล็กจุดน้อยเยอะแยะไปหมดเลย!ฮือๆ!” พี่ขาวโวยวายขึ้น
“น้ำเงินนั่นแหละ! ทำให้แดงสดของฉันเป็นแดงด่างๆ เข้มๆไม่น่าดูเลย...ฮึ!” พี่แดงต่อว่าน้องน้ำเงิน
“อ้าว! ผมไปทางไหนก็ไม่ได้ พวกพี่ๆ คอยว่าผมอยู่เรื่อยเลย” น้องน้ำเงินพูดตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
“พี่แดงกับพี่น้ำเงินนี่ พวกพี่ล้ำเขตเข้ามามากเกินไป สีเหลืองอร่ามของฉันเลยดูมัวหมองหมด!” น้องเหลืองบ่น
ถึงเวลาบ่ายแก่ๆ แล้วพี่น้องทั้งสี่ก็ยังเถียงกันไม่รู้จบ จนในที่สุด ลุงพู่กันก็เข้ามาพูดเตือนสติ
“เวลาล่วงเลยมามากแล้ว หากพวกเจ้ายังขาดความสามัคคีกันอยู่เช่นนี้ งานก็คงจะไม่สำเร็จเป็นแน่ การทำงานทุกอย่างนอกจากจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดแล้ว ต้องใช้ปัญญาพินิจพิเคราะห์เหตุผลและแก้ปัญหาต่างๆ งานจึงจะเรียบร้อยและสมบูรณ์”
ทั้งสี่พี่น้องเมื่อได้ฟังลุงพู่กันเตือนสติดังนั้น ก็หวนคิดขึ้นมาได้ จึงตั้งใจและหันมาร่วมมือกัน
“พี่แดงมาผสมกับส่วนของน้องเหลืองดูสิ! นั่น...เราได้ สีส้ม สวยสดขึ้นมาแล้ว”
“น้องน้ำเงินมาผสมกับพี่แดงบ้าง เออ! เราได้ สีม่วง ที่ดูแปลกตาดีนะ”
“น้องเหลืองขอไปผสมกับพี่น้ำเงินบ้างสิ ว้าว! สีเขียว สดชื่นอะไรเช่นนี้”
“ไหนๆก็ไหนๆ พี่ขาวขอร่วมวงด้วยคนนะ พี่จะลองใส่สีของพี่ลงไปดูบ้าง...อืม! ทั้ง ส้ม ม่วง เขียว ดูอ่อนขึ้นแฮะ! งั้นพี่ขาวจะเป็นคนคอยจัดการความเข้มอ่อนให้เอง”
พี่น้องทั้งสี่ต่างก็ช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง โดยมีลุงพู่กันเป็นผู้ประสานงาน

หมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 4



“เราจะสู้หมู่บ้านอื่นได้หรือนี่?” น้ำเงิน พี่คนกลางถามโพล่งขึ้นมา
“นั่นน่ะสิ! หมู่บ้านอื่นทั้งจำนวนและอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ก็เหนือกว่าเรามาก” เหลืองพูดเสริมด้วยความที่อ่อนประสบการณ์ ลุงพู่กันจึงพยายามตัดบทและพูดให้กำลังใจว่า
“ในเมื่อเรามีอยู่เท่านี้ หากช่วยกันคนละไม้คนละมือ งานอาจจะออกมาดีก็ได้นะ!”
“ครับ พวกเราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด” พี่ๆ ทั้งสี่พูด
“ผมก็จะช่วยด้วยครับ” น้องดำพูด
“ดำนั่นแหละอยู่เฉยๆ จะดีที่สุด พี่กลัวว่าเจ้าจะเป็นคนทำให้เสียงานซะมากกว่า” พี่ขาวกล่าวทิ้งท้าย
ทุกหมู่บ้านต่างก็เริ่มทำงานของตนเองตามความถนัด
หมู่บ้านสีไม้-มีความละเอียดลออ อาศัยจำนวนสีที่มีมาก ทำให้ภาพที่วาดดูกลมกลืน
หมู่สีเทียน-มีความเข้มข้นของเนื้อสีเป็นทุนเดิม และใช้ความมั่นใจในการลงสี
หมู่บ้านสีชอล์ค-มีเนื้อสีที่หนาแน่น ขนาดที่ใหญ่โตได้เปรียบกว่าสีอื่น และความชำนาญเป็นสิ่งสำคัญ

หมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 3




“ประกาศ! ประกาศ!” เสียงมหาดเล็กซึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองร้องป่าวประกาศ ให้ผู้เข้าแข่งขันจากทุกหมู่บ้านรับฟัง
“ผู้เข้าแข่งขันจากทุกหมู่บ้านโปรดฟังทางนี้ ปีนี้การประกวดการวาดภาพจะพิเศษกว่าทุกปี กฎเกณฑ์ในการแข่งขันดูเหมือนง่าย แต่อาจจะยากในการตัดสิน ทางคณะกรรมการผู้ตัดสินจึงได้กราบบังคมทูลเชิญ พระราชา แห่งศิลปนครของเรา เป็นผู้ชี้ขาดในการตัดสินครั้งนี้ เพราะกฎเกณฑ์ที่เราจะใช้แข่งขันคือ การวาดภาพ “พระราชินี” ในพระอิริยาบถต่างๆ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละหมู่บ้าน โดยกำหนดเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดินของเย็นวันนี้ ให้แล้วเสร็จทุกหมู่บ้าน และคำตัดสินของพระราชาถือเป็นการชี้ขาด....จบคำประกาศ”
แต่ละหมู่บ้านต่างก็มีความมั่นใจในตัวแทนและฝีมือของหมู่บ้านตนเอง ทุกคนต่างกระตือรือร้น ขะมักเขม้น จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ไว้พร้อมสรรพในการแข่งขันครั้งนี้ คงมีแต่เพียงหมู่บ้านสีน้ำหมู่บ้านเดียวที่ดูกระวนกระวายไม่ค่อยมีความมั่นใจ

หมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 2



ลุงพู่กันได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกอับอายและอึดอัดใจ จนไม่สามารถพูดโต้ตอบอะไรได้ ได้แต่ก้มหน้าเดินกลับไปยังหมู่บ้านสีน้ำของตน
ครั้นกลับถึงหมู่บ้าน ลุงพู่กันพยายามถามลูกบ้านแต่ละบ้านว่ามีใครที่พอจะมีความสามารถเป็นตัวแทนของหมู่บ้าน เพื่อเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ แต่ลูกบ้านแต่ละคนต่างก็ปฏิเสธ
“โธ่! ลุง บ้านผมมีแต่คนผอมแห้งอย่างนี้จะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับเขาได้”
“ส่วนที่บ้านฉันไม่ค่อยมีใครมาสนใจ ดูสิ เนื้อสีก็แตกกร้าน แข็งเป็นก้อน”
“ที่บ้านของตากะยายนี่ ก็ถูกใช้อย่างสมบุกสมบัน ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆสาวๆ ตอนนี้แต่ละคนก็เหลือสีติดแค่ปากหลอดเท่านั้น โอ๊ย...ไม่ไหว!”
ลุงพู่กันเดินคอตกอย่างคนสิ้นหวัง จนมาถึงบ้านของพี่น้องทั้งห้าคน
“ลุงๆ ! นั่นลุงพู่กันใช่มั้ยครับ” เสียงขาวเอ่ยขึ้น
“ท่าทางลุงไม่ค่อยจะดีเลย ลุงมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ?” แดงถามต่อ
แล้วลุงพู่กันก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง...
“เฮ้อ!ช่างมันเถอะ! ปีนี้เราคงจะหาตัวแทนไปแข่งขันไม่ได้แล้วล่ะ” เสียงลุงพู่กันพูดแล้วก็ถอนหายใจ
พี่น้องทั้งห้าต่างมองหน้ากัน น้ำเงินจึงพูดขึ้นว่า “แล้วถ้าพวกเราจะเป็นตัวแทนไปแข่งขันได้ไหมครับ?”
“พวกเจ้านะหรือ?” ลุงพู่กันถามด้วยความประหลาดใจ
“ลุงว่าพวกเจ้ายังเด็กเกินไป”
“แต่...ลุงครับ! ทั้งหมู่บ้านเราก็ไม่มีใครอีกแล้วนี่ครับ ถ้าเช่นนั้นพวกเราขออาสาไปเป็นตัวแทนของหมู่บ้านเรา เราไม่ได้หวังผลว่าจะชนะหรือแพ้ แต่เราก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดด้วยความสามารถทั้งหมดที่เรามี” ขาวผู้เป็นพี่ใหญ่ ยืนยันด้วยเหตุผล
ลุงพู่กันรับฟังด้วยความภูมิใจ ในพี่น้องทั้งห้านี้
“เอา! ถ้าเช่นนั้นก็ได้”ลุงพู่กันตอบตกลง และยอมรับในเหตุผล
“ลุงๆ! ลุงครับ ผมไปด้วยนะครับ!” น้องสุดท้องที่ชื่อ ดำ พูดขึ้นบ้าง
“เจ้ายังเด็กเกินไป แล้วตัวเจ้าก็เพียงเท่านี้จะช่วยอะไรได้ เจ้าอยู่บ้านดีกว่ากระมัง!” พี่ๆ ทั้งสี่ดูจะไม่ใส่ใจในคำพูดของดำ เท่าใดนัก
“เอาเถอะๆ! เจ้าดำจะไปก็ได้ ถือว่าไปหาประสบการณ์ แต่เจ้าต้องอย่าซุกซนนะ” ลุงพู่กันกล่าวย้ำ
“ครับ” น้องดำตอบรับด้วยรอยยิ้มดีใจ
ทั้งหมดจึงรีบเตรียมตัว ออกเดินทางไปยังเมืองศิลปนคร เพื่อเข้าร่วมแข่งขันวาดภาพที่กำลังจะเริ่มขึ้น

นิทานเรื่องหมู่บ้านสีน้ำตอนที่ 1


ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งนามว่า หมู่บ้านสีน้ำ อยู่ในเมืองศิลปนคร มีครอบครัวหนึ่งมีพี่น้องอาศัยอยู่ด้วย กันห้าคนคือ ขาว แดง น้ำเงิน เหลือง และดำ
ขาว -เป็นพี่ชายคนโต รูปร่างสูงใหญ่กว่าใครในบรรดาพี่น้อง เป็นคนอ่อนโยน จริงใจและเสียสละ
แดง -เป็นพี่สาวคนรอง เป็นคนที่มีเสน่ห์ อบอุ่นใครเห็นเป็นหลงใหล และรักพี่น้อง
น้ำเงิน -เป็นน้องชายคนกลาง เป็นคนรักสงบ สุขุม มีมานะ ทำอะไรเอาจริงเอาจัง ไม่ย่อท้อ
เหลือง -เป็นน้องสาวคนเล็ก ผิวพรรณผ่องผุดดุจพระจันทร์วันเพ็ญ เป็นคนร่าเริงเบิกบาน
ดำ -เป็นน้องเล็ก คนสุดท้อง เป็นเด็กที่กล้าแสดงออก แต่ไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะไม่ค่อยมีใครสนใจ
ในทุกๆ ปี ของเมืองศิลปนคร จะมีการแข่งขันประกวดวาดภาพโดยจะให้แต่ละหมู่บ้านส่งตัวแทนมาแข่งขันกัน แต่ปีนี้จะจัดยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแด่ ราชินี แห่งเมือง ศิลปนคร ซึ่งมีพระชนมายุครบเจ็ดสิบสองพรรษา ทุกหมู่บ้านต่างตื่นเต้นยินดี ที่จะได้มีโอกาสแสดงฝีมือของหมู่บ้านตน ต่างเตรียมตัวจัดยอดฝีมือมาร่วมเข้าแข่งขัน มีหมู่บ้าน สีไม้ หมู่บ้านสีเทียน หมู่บ้านสีชอล์ก แต่ละหมู่บ้านต่างก็โอ้อวดสรรพคุณต่างๆ นานา
หมู่บ้านสีไม้อวดว่า “ปีนี้เราเตรียมพร้อมเต็มที่ เรานัดชุมนุมพี่น้องเรามาพร้อมกันทั้งสามสิบหกสี ทุกๆ สี เรามีครบ เพราะฉะนั้นชัยชนะต้องเป็นของเราแน่นอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
หมู่บ้านสีเทียนโต้กลับว่า “โธ่! ท่านสีไม้!หมู่บ้านท่านน่ะหรือจะสู้เราได้ ถึงท่านจะมีถึง สามสิบหกสี แต่จะเทียบกับความแข็งแกร่ง ความเข้มข้นของเนื้อสีของเราทั้งยี่สิบสี่ได้หรือ?”
หมู่บ้านสีชอล์คได้พูดแทรกขึ้นบ้างว่า “ท่านทั้งสองอย่าเพิ่งมั่นใจในชัยชนะครั้งนี้เลย ถ้าจะเปรียบเทียบทางด้านพละกำลังของเราทั้งสี่สิบแปดสี เราก็ยังเป็นต่อ หรือจะเปรียบเทียบความอ่อนนุ่มของเนื้อสี เราก็ไม่เป็นรองใคร”
ขณะที่ทั้งสามหมู่บ้านกำลังพูดคุยอยู่นั้น ก็เหลือบไปเห็นลุงพู่กัน ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านสีน้ำ จึงได้กล่าวทักขึ้น
“อ้าว! ลุงพู่กันเป็นไงมาไงล่ะ! สบายดีหรือ?” ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านสีไม้ทัก
“ปีนี้หมู่บ้านของลุงจะมาประกวดแข่งขันด้วยหรือเปล่า?” ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านสีเทียนถามต่อ
“เอ่อ... คือว่า....” เสียงลุงพู่กันพูดยังไม่ทันได้จบดี ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านสีชอล์คพูดต่อทันที “เอ! แต่ที่ได้ข่าวมา ลูกบ้านในหมู่บ้านของลุงนี่ส่วนใหญ่ก็แก่ชรา หรือไม่ก็ผอมแห้งแรงน้อย ถ้าเช่นนั้น ปีนี้คงไม่มีชื่อหมู่บ้านของคุณลุงมาเข้าแข่งขันแน่เลย!”