วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

นิทานหอศิลป์ 56 เรื่องที่ 4



แมวหรือสุนัข
วันหนึ่ง หน่อยได้สุนัขประหลาดตัวหนึ่งมาเลี้ยง เป็นสุนัขโตแล้ว พลัดถิ่นมาจากไหนก็ไม่รู้ ที่ว่ามันประหลาด เพราะตัวมันเป็นหมา แต่บุคลิกมันเหมือนแมวมาก ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง หรือท่าทางของมัน มันปีนป่ายที่สูงเก่งมาก กระโดดตัวเบา โดดแผวไปมาได้ สงสัยจริงว่ามันเป็นสุนัขพันธุ์อะไร
เมื่อพ่อแม่อนุญาตให้นำเข้าบ้าน นิดจึงขอเลี้ยงสุนัขตัวนี้ด้วย หน่อยก็ยินดี เพราะหน่อยมีภาระต้องไปเรียนพิเศษอยู่บ่อยๆ จึงอยู่บ้านน้อยกว่านิด ทั้งสองตั้งชื่อสุนัขตัวนี้ตามบุคลิกว่า “เหมียว”

วันหนึ่งหน่อยไปเรียนพิเศษจนเย็น ไม่อยู่บ้านทั้งวัน สุนัข “เหมียว”  ร้อง “เหมียวๆ “ หิวทั้งวัน มันชอบกินปลามาก นิดเลยต้องพยายามหาปลาให้มันกิน เมื่อมันอิ่ม มันก็จะกระโดดตะครุบ สัตว์ตัวเล็กๆเล่น เช่น จิ้งจก หรือแมลงสาบ
นิดสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่เหมียวมาอยู่ที่บ้านนี้ มักจะมีแมวแปลกๆ มีทั้งลายทาง ลายจุด ตัวขาว ตัวดำ แวะเวียนมาเยี่ยมหาเหมียวบ่อยๆ กลายเป็นว่า นิดต้องเลี้ยงดูแมวอาคันตุกะเหล่านั้นด้วย
คืนวันหนึ่ง นิดกำลังจะเข้านอน ได้ยินเสียงนกร้องที่นอกหน้าต่าง ฟังไปฟังมาคล้ายเสียงพูด จึงเดินไปใกล้หน้าต่างเพื่อไปดู และเงี่ยหูฟัง “กระซิบๆ” นกพูด เอ้ย นกพูดได้จริงๆด้วย “ใช่ ฉันพูดได้ แต่ต้องกระซิบนะ ตัวฉันเล็ก ไม่มีแรงตะโกนให้ดังขนาดคนได้ยินหรอก”  โอ้ย... นิดแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เอาเหอะ เรื่องแปลกๆ ก็เกิดขึ้นออกบ่อยในช่วงหลังนี้ เลยทำใจกล้าถามต่อไปว่า “มีอะไรจะบอกหรือ”  “เจ้าเหมียว สุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้ ที่จริงเขาคือแมว” อะไรนะ มีอะไรจะน่าแปลกใจกว่านี้อีกไหม นิดคิด “เรื่องเป็นมายังไง” นิดชักอยากรู้ซะแล้ว
นกเริ่มบรรยาย “ คือว่า... เดิมที เหมียวเป็นแมว ที่มีตัวเป็นสีแดง ไปไหนมาไหนกับพี่ๆอีก 6 ตัว เป็น 7 สี เขาเป็นน้องสุดท้อง วันหนึ่งขณะกำลังเดินตามพี่ๆไปเหมือนปกติ เขาได้กลิ่นอาหารมาเตะจมูก ยั่วยวนใจมาก ทำให้เขาเดินออกนอกเส้นทาง ตามกลิ่นอาหารไป  จนมาหยุดที่ ชามอาหารสุนัข เขาก็กินใหญ่ๆ จนหมดเกลี้ยง จากนั้น สีขน และรูปร่างลักษณะ ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสุนัขอย่างที่เห็น”

“ดังนั้น มันจึงกลับเข้ากลุ่มไปรวมกับพี่ไม่ได้ เพราะสีสันผิดไป หนำซ้ำยังทำให้พี่ๆของมันอีก 6 ตัวไม่สามารถกลับขึ้นไปประดับท้องฟ้าเหมือนดังเดิมได้”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะช่วยมันได้อย่างไร” นิดถาม “ช่วยได้ด้วยการหาของกินเจ็ดอย่างที่มีสีแดงให้มันจนให้หมดในคราวเดียว ก่อนพระอาทิตย์ตกดินมันก็จะกลับเป็นแมวสีแดงดังเดิม” นกตัวนั้นตอบ “โอย จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากนะ งานนี้” นิดบ่น “ถ้าเธอไม่ทำเช่นนั้น โลกของเธออาจจะไม่มีรุ้ง 7 เจ็ดสีไว้ประดับท้องฟ้า และแมวอีก 6 ตัวอาจจะต้องตรอมใจตายนะ”

“งานนี้ คงต้องรอพี่หน่อยกลับมาแล้วล่ะ” นิดคิด เมื่อหน่อยถึงบ้าน นิดจึงเล่าให้ฟังทุกอย่าง หน่อยนึกเสียดายสุนัขตัวนี้มาก เพราะมันเป็นสุนัขพิเศษจริงๆ ถ้าเปลี่ยนมันกลับเป็นแมว หน่อยก็จะไม่มีสัตว์เลี้ยงพิเศษตัวนี้อีกต่อไป แต่ทว่าในที่สุดหน่อยก็ทนคำรบเร้าของนิดไม่ไหว “ พี่น้องต้องอยู่ด้วยกันนะ เหมือนพี่กับฉันไง ไม่งั้นก็ต้องคิดถึงกันแย่เลย” “ตกลง พรุ่งนี้เราไปหาของสีแดงเจ็ดอย่างที่เหมียวจะกินได้กัน”
วันรุ่งขึ้น เด็กๆที่ฟังนิทานอยู่คงต้องช่วยกันแล้วล่ะ อะไรเอ่ย 7 อย่าง กินได้ และมีสีแดง ติ๊กต่อกๆๆๆ  เย้ ได้มาแล้ว จากนั้น หลังจากหลอกล่ออยู่นาน ในที่สุดเหมียวก็กินทุกอย่างหมดก่อนพระอาทิตย์ตกดินเพียงไม่กี่นาที จากนั้นร่างกายของเหมียวค่อยๆเปลี่ยนจากสีธรรมดาเป็นสีแดง และ กลายเป็นแมวในที่สุด วินาทีนั้น แมวสีแดงก็หายวับไป
หน่อยยืนเศร้าคิดถึงเหมียวมากในคืนนั้น พระจันทร์ส่องสว่างเต็มดวง แต่ก็ไม่ช่วยให้หน่อยหายเศร้าได้ “พี่จ๋า ถ้ามีรุ้งเกิดขึ้นบนท้องฟ้าครั้งใด พี่จงรู้ไว้ว่า เจ้าเหมียวของเรายังอยู่ที่นั่น” ได้ยินดังนั้น ใบหน้าหน่อยพลันมีรอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้น

นิทานหอศิลป์ 56 เรื่องที่ 3



รูปปั้นในสวน
วันหนึ่งนิดและหน่อยเล่นของเล่นต่างๆในบ้านจนเบื่อแสนเบื่อ ตั้งแต่วงกลมสีน้ำเงินอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ไม่มีเรื่องสนุกๆอีก
นิดคิดถึงของสะสมอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นของที่เก็บไว้นานจนเกือบลืม จึงเอามือเอื้อมไปหยิบกล่องขนมเก่าทำด้วยเหล็กที่หลังตู้ลงมา ข้างในมีตุ๊กตาเล็กๆน่ารักที่ทำท่าทางต่างๆมากมายหลายแบบ คล้ายกับรูปปั้นจิ๋ว มีทั้งท่านั่ง ท่านอน ท่ายืน และท่าอื่นๆอีกมากมาย
นิดเอาตุ๊กตาเหล่านั้นมาเรียงรายกันในแนวเลื้อยไปมาที่พื้นห้องนอน อย่างเพลิดเพลิน เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกว่าสนุกมากแล้ว ส่วนหน่อยหันไปผสมสารอะไรเล่น ดูเหมือนจะเป็นชุดสำเร็จที่แม่เคยซื้อไว้ให้เล่นนานแล้ว ท่าทางจะสนุกมากเหมือนกัน
หน่อยพูดกับนิดว่า “ถ้าผสมถูกหลักนะ จะสามารถนำไปรดน้ำต้นไม้ในสวนให้เจริญเติบโตสวยงามผิดหูผิดตาได้เลยนะ” แต่ขณะที่หน่อยพูดเสร็จกำลังจะลุกขึ้นไปหยิบน้ำมาเติม พลันพนักเก้าอี้ก็หมุนไปโดนถ้วยสารเคมีที่วางหมิ่นแหม่อยู่ที่โต๊ะ ตกลงมาหกกระจายโดนตุ๊กตาของนิดเข้า

ไม่ช้า เกิดสิ่งมหัศจรรย์ ตุ๊กตาทุกตัว โตขึ้นๆและดูเหมือนจะมีชีวิตด้วย พวกเขาพูดได้และกระดิกตัวไปมา แต่ไม่สามารถเปลี่ยนท่าทางที่เป็นอยู่ได้ พวกมันได้แต่หัวเราะคิกคัก ราวกับว่า การมีชีวิต เป็นเรื่องสนุกเสียเหลือเกิน
นิดและหน่อย ต่างอึ้งกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก ตุ๊กตาตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า “ช่วยพาพวกเราออกไปข้างนอกหน่อยซิ เราอยู่ในกล่องจนเบื่อแสนเบื่อ อยากเห็นโลกภายนอกบ้าง” ตุ๊กตาตัวอื่นๆ ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อนิดกับหน่อยหายงงแล้ว จึงปรึกษากัน และยื่นข้อเสนอว่าจะพาตุ๊กตาซึ่งตอนนี้มีขนาดใหญ่พอควรออกไปตั้งไว้แซมตามกระถางต้นไม้ที่ปลูกไว้ด้านนอกในสวนหลังบ้าน พ่อแม่จะได้ไม่ว่าอะไร “ พวกเธอห้ามดุกดิกเวลาพ่อแม่ฉันมาเห็นนะ” นิดเน้นย้ำ
เหล่าบรรดาตุ๊กตายอมทุกอย่างเพียงขอให้ได้ออกไปข้างนอกเท่านั้น เพราะรอคอยเวลานี้มานาน เมื่อนิดและหน่อย พาพวกมันไปตั้งแทรกตามที่ต่างๆในสวนหลังบ้านจนหมดแล้ว ทุกตัวต่างมีความสุขมากที่ได้เห็นแสงแดดอ่อนๆ และต้นไม้ใบหญ้า
นิดและหน่อยกลับเข้าบ้านไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝนตก พร้อมๆกับได้ยินเสียงเหมือนกับมีใครร้องเพลงประสานเสียงกันอย่างไพเราะเพราะพริ้งมาก เป็นเสียงเพลงแห่งความสุข นิดและหน่อยมองตากัน และพูดพร้อมกันว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นเสียงของตุ๊กตาพวกนั้น” ทั้งสองวิ่งแข่งกันถือร่มออกไปดู จริงๆด้วย พวกตุ๊กตาร้องเพลงกันใหญ่ ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
“ตายล่ะ ถ้าพ่อแม่ได้ยินเข้า พวกเราสองคนจะทำยังไง หยุดร้องเถอะ” นิดขอร้องตุ๊กตา ตุ๊กตาตัวหนึ่งพูดอธิบายว่า “เราหยุดไม่ได้ พอฝนตก พวกเรารู้สึกมีความสุขมาก จนต้องร้องเพลงออกมาดังๆ เรากำลังมีความสุข จริงๆนะ ให้เราร้องเถอะ” นิดเอามือกุมหัว “ทำไงดีๆ” หน่อยสะกิดให้นิดเข้าบ้าน และแกล้งเปิดวิทยุให้ดังเพื่อกลบเสียงร้องของตุ๊กตา

“สองคนนี้ ทำอะไรกัน พ่อกับแม่จะดูทีวี เสียงดังมาก รบกวนนะ” พ่อลงมาต่อว่าจากชั้นบน” “คือว่าเราต้องซ้อมเต้นรำในงานโรงเรียนค่ะพ่อ” หน่อยแก้ตัว “พอดี ฝนมันตก เราเลยเปิดค่อยๆไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ยินเสียงเพลง ต้องเปิดดังกลบเสียงฝนค่ะ” “เอาล่ะๆ เสร็จเมื่อไร ก็ปิดแล้วกัน พ่อกับแม่คงต้องปิดประตูหน้าต่างห้อง ถึงจะดูทีวีได้” พ่อพูดอย่างอารมณ์เสีย ก็ยังดีกว่าออกไปตามหาแหล่งเสียงเพลงข้างนอก เด็กสองคนคิด
เมื่อฝนหยุดตก ทั้งสองปิดวิทยุ และรีบรุดออกไปดูตุ๊กตา ปรากฏว่านิดกับหน่อยมองไม่เห็นตุ๊กตาเหล่านั้นเลย ทำให้รู้สึกแปลกใจมาก จึงเดินเข้าไปสำรวจ ที่แท้ ตุ๊กตากลับไร้ชีวิตและตัวเล็กลงเท่าเดิมเสียแล้ว “คงเป็นเพราะน้ำฝนได้ชะล้างสารเคมีของฉันออกจากตุ๊กตาจนหมดแล้ว” “โธ่ ตุ๊กตาที่น่าสงสาร” นิดรู้สึกเสียใจแทนตุ๊กตา แล้วสองพี่น้องก็ค่อยๆช่วยกันเก็บตุ๊กตาเข้าบ้าน นำไปเช็ดจนแห้ง และวางมันกลับเข้ากล่องขนมเหล็กเก่าๆใบนั้นเหมือนดังเดิม โชคดีจัง ที่พ่อแม่ไม่รู้

เพลง สายฝน
สายฝน สายฝน โปรยปราย
พาพวกเราสบายกาย สดชื่น
เรามีความสุข เรามีความสุข
ร้องเพลงเริงรื่น ชื่นบานเอย.

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

นิทานหอศิลป์ 56 เรื่องที่ 2



ใบหน้าที่หายไป

วันรุ่งขึ้น นิดอยากให้พี่หน่อยได้พบเจอสิ่งแปลกประหลาดที่เขาเจอมาเมื่อวานจึงรอจังหวะตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ ชวนให้พี่หน่อย จับเจ้าวงกลมสีน้ำเงินใต้เตียง เพื่อกระโดดลงหลุมไปเที่ยวเมืองวงกลมอีกครั้ง
เมื่อจับวงกลม และกระโจนลงมาได้ด้วยความตื่นเต้น นิดกับหน่อย ก็ได้มาเมืองวงกลมสมใจ แต่ทว่าการมาครั้งนี้ ยิ่งทำให้นิดต้องฉงนหนัก เพราะผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั้น ไม่มีใครมีหน้าตาซักคน มีแต่ตัว แม้กระทั่งสัตว์ต่างๆ ก็ไม่มีหน้าตา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ” นิดกับหน่อยมองตากัน
สักครู่ เขาพบเด็กชายคนหนึ่งซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ เขาค่อยๆเดินออกมา เด็กคนนี้มีหน้าตาครบ สีหน้าและแววตาแสดงถึงอาการกลัวสุดขีดจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เมื่อรู้ว่านิดและหน่อยไม่เป็นอันตราย จึงเล่าให้คนทั้งสองฟังว่า มียักษ์ตนหนึ่งผ่านมา และขโมยหน้าตาของพวกเขาไป ด้วยการร่ายคาถา ให้ไปปรากฏอยู่บนเหรียญของยักษ์ ยักษ์เก็บรวบรวมเหรียญเหล่านั้นแล้วยักษ์ก็วิ่งกลับบ้านของมันไป บ้านของมันอยู่ไกลไปทางภูเขาฟากโน้น
นิดกับหน่อยไม่กลัวยักษ์ และอยากจะช่วยนำใบหน้าของทุกคนคืนมา จึงถามวิธีที่รวดเร็วในการไปบ้านยักษ์ เด็กแนะให้ทั้งสองขึ้นขี่ยานวงกลมเหาะ   ไม่นานพวกเขาก็ไปถึงบ้านยักษ์
เด็กทั้งสองมองเห็นว่า ยักษ์กำลังนั่งที่โต๊ะของตน เพื่อคัดแยกใบหน้าต่างๆอยู่อย่างใจจดใจจ่อ โดยเอาหน้ายิ้มไว้กองหนึ่ง นอกนั้น เป็นหน้าอื่นๆอีกกองหนึ่ง “จะทำอย่างนั้นทำไมหนอ” นิดพูดกับพี่ แต่ยักษ์มีหูที่ดี พอได้ยินปั๊บ ก็หันขวับมา ตอบว่า “เราได้ขนมอมยิ้มที่แสนอร่อยมาจากยายของเรา ยายทำเองกับมือ นานๆยายจึงจะทำซักที เราอยากให้อมยิ้มของเรา มีหน้ายิ้มจริงๆ เลยไปขอหน้าจากคนในเมืองมาประดับอมยิ้มซักหน่อย”  “นายถ้าจะบ้าแล้ว ทำแบบนี้ ชาวเมืองเขาเดือดร้อนไม่มีหน้าตาให้ใช้ เขาจะสื่อสารกันยังไง เอาไปคืนเขาเดี๋ยวนี้เลยนะ” แต่ยักษ์ไม่ยอม ยังยืนยันแบบเดิม

เด็กๆเห็นว่ายักษ์ตนนี้ไม่ดุร้ายเลย จึงเข้าไปเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดดีๆแบบเป็นมิตร “อยากรู้ว่าขนมนั่นอร่อยมากไหม” นิดถามยักษ์ “อร่อยมากที่สุดในโลก” ยักษ์ตอบ “ขอดูและขอชิมบ้างจะได้ไหม” ยักษ์ไม่ตอบเพราะยังหวงอยู่ “ถ้ามันอร่อยจริง จะต้องการหน้ายิ้มไปทำไมอีก แค่รสชาติของมัน ก็น่าจะทำให้ยักษ์ยิ้มได้แล้วไม่ใช่หรือ”
ยักษ์ทำหน้าเศร้า และพูดว่า “ไม่รู้ซินะ ถึงแม้อมยิ้มจะอร่อยมาก แต่ไม่ว่าเราจะกินมากแค่ไหน เราก็ไม่มีความสุข เราจึงคิดว่า การเพิ่มรอยยิ้ม อาจจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นก็ได้” หน่อยฟังแล้วเข้าใจเรื่องโดยตลอด และพูดว่า “เธอรู้ไหม เธอไม่มีความสุขเพราะว่า เธอไม่มีเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นยามเล่นหรือยามกิน ชีวิตของเธอจึงแห้งแล้ง และจืดชืด” นิดจึงเสนอขึ้นว่า “เธอลองอย่างนี้ดูซิ ลองเอาใบหน้ากลับไปคืนทุกคน และแบ่งปันอมยิ้มให้ทุกคนได้ชิม เธอจะมีเพื่อนมากมาย” ยักษ์อยากลองดู จึงรวบรวมใบหน้าทั้งหมด และถุงอมยิ้มจำนวนมาก พานิดและหน่อยเดินมุ่งหน้าเข้าเมืองวงกลม

เมื่อคืนใบหน้าให้ทุกคนแล้ว ใบหน้าทุกใบเปลี่ยนเป็นหน้ายิ้มในทันที และยิ่งยิ้มมากขึ้นเมื่อได้รับอมยิ้มของยายจากยักษ์มาชิมกันคนละอัน ยักษ์รู้สึกแปลกใจมาก ที่แม้ว่าเขาจะเหลืออมยิ้มมากินเองเพียงไม่กี่อัน แต่เขากลับมีความสุขอย่างล้นเหลือ มากเกินกว่าตอนที่กินอมยิ้มทั้งหมดที่ยายให้มาโดยไม่แบ่งปันใครเลย
ตอนกลับออกจากเมืองวงกลม นิดพาหน่อยไปที่ศาลาแม่สี เพื่อให้แม่สีถามคำถามเพื่อกลับบ้าน คราวนี้ สีแดงพูดว่า “โลกของเธอ ยามเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน มีสีเป็นเช่นไร” หน่อยจึงลากวงกลมสีแดง ไปชนกับวงกลมสีเหลือง ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ประตูกลับบ้าน มาถึงบ้านโดยไม่มีใครในบ้านจับได้ แต่ครั้งนี้เมื่อมาถึงบ้าน ก็ไม่พบวงกลมสีน้ำเงินอยู่ในบ้านอีกเลย

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

นิทานหอศิลป์ 56 เรื่องที่ 1





เมืองวงกลม



นิดและหน่อยเป็นพี่น้องกัน นิดเป็นเด็กชาย หน่อยเป็นพี่สาวนิด ทั้งสองรักใคร่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี



วันหนึ่ง พ่อกับแม่ของนิดและหน่อย ออกไปทำธุระข้างนอก โดยพาหน่อยไปด้วย  ไม่นานก็มีฝนตกลงมาอย่างหนัก นิดไม่ชอบอยู่บ้านคนเดียวเวลาแบบนี้ เขาหลบอยู่ในห้องนอนของเขา ฟ้าร้องโครมคราม นิดเริ่มกลัว จึงมองหาที่หลบซ่อน



เขาตัดสินใจคลานไปใต้เตียง เขาไม่ค่อยไปใต้เตียงบ่อยนัก แต่พบว่ามันก็สะอาดดีมาก แม่คงถูทุกวันจนสะอาด นิดนึกขอบคุณแม่มากเรื่องนี้ แม่เป็นคนขยัน เขารักแม่จริงๆ



ที่นี่ใช้เป็นที่หลบซ่อนจากความกลัวที่เหมาะมาก แต่ เอ๊ะ... นั่นอะไร เป็นวงกลมๆคล้ายๆห่วงฮูลาฮูบอันเล็กๆสีน้ำเงิน  เขาไม่เคยมีเจ้าสิ่งนี้มาก่อน มันดูแปลกตามาก พอเอื้อมมือจะเข้าไปจับ มันก็เลื่อนหนีได้ แทนที่นิดจะกลัว กลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก ไล่ตะครุบเจ้าวงกลมไปมา จนออกมาจากใต้เตียง



ในที่สุดเมื่อคว้ามันได้ เขากลับรู้สึกตัวเหมือนอยู่ปากหลุมและตกดิ่งลงไปในหลุมนั้น ดิ่งลงไปๆอย่างไร้จุดหมาย เขารู้สึกหมดสติไป



ตื่นขึ้นมาอีกที พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในที่ที่ประหลาดมาก เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ เป็นรูปทรงกลม ไม่ว่าจะเป็นบ้านเมือง รถรา ผู้คน สิ่งของต่างๆ โดยเฉพาะผู้คนเป็นตัวกลมๆที่เดินไปมาได้ ดูน่ารักจัง อยากให้พี่หน่อยมาเห็นด้วยอีกคนหนึ่ง ส่วนพ่อกับแม่ คงไม่สนใจเรื่องนี้หรอก



เขาอยากพิสูจน์ว่าเป็นความฝันหรือเป็นความจริง เขามองหาคนที่เขาจะสอบถามได้ เขาเรียกลุงอ้วนกลมคนหนึ่ง ดูท่าทางเป็นคนใจดี “ลุงๆ ฉันหลงทางมาน่ะ ท่าช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วฉันจะกลับบ้านได้อย่างไร” ลุงใจดีจริงๆ แกตอบว่า “โอ้ นี่อีกคนหรือ มีแต่คนหลงทางมาแถวนี้บ่อยจังเลย มาๆ ตามฉันมาทางนี้” นิดเดินตามลุงอ้วนไปอย่างดีใจ ช่างง่ายอะไรเช่นนี้ นิดคิด



ลุงอ้วนเดินมาหยุดอยู่ตรงที่ศาลาแห่งหนึ่ง มีวงกลมอยู่ 3 วง มีสี แดง เหลือง น้ำเงิน คล้ายกับเรื่องแม่สีที่นิดเรียนมาเลย ผิดแต่ว่า วงกลมสามวงนี้ มีแสงระยิบระยับ น่าดูมาก ลุงอ้วนพูดต่อว่า “ลุงส่งเธอแค่นี้นะ ต่อไปเธอต้องตอบคำถามของเจ้าวงกลมเหล่านี้ ถ้าตอบถูกก็จะได้กลับบ้าน” พูดแล้วลุงก็เดินจากไป




วงกลมสีเหลือง เมื่อเห็นว่านิดอยู่คนเดียว จึงพูดขึ้นว่า “ สีของต้นไม้ใบหญ้าในโลกที่เธออยู่เป็นสีอะไร จงพาฉันไปเจอกับวงกลมอีกวงให้เป็นสีนั้น” “ง่ายมาก” นิดคิด เพราะนิดชอบวาดรูประบายสี  นิดจึงพาวงกลมสีเหลืองไปชนกับวงกลมสีน้ำเงิน เกิดเป็นวงกลมสีเขียวลอยขึ้นมา “ฉันรู้จักโลกนี้ดี” วงกลมสีเขียวพูด “เธอกระโดดเข้ามาในตัวฉัน แล้วฉันจะพาเธอกลับบ้านเอง” นิดทำตามที่วงกลมสีเขียวพูด เมื่อตื่นขึ้นอีกที เขาก็พบว่าเขากลับมาอยู่ที่ห้องนอนของเขาอย่างเก่า โดยที่ยังไม่ทันรู้ตัว เสียงพ่อแม่กับพี่หน่อยกลับมาแล้ว เราต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นิดพูดกับตัวเอง ทั้งๆที่ยังรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องที่ไปพบเจอมา เมื่อมองไปที่พื้นห้อง วงกลมสีน้ำเงินก็ยังอยู่ที่นั่น.