วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ผู้ใหญ่ช่วยแนะนำเด็ก ตอนที่ 1



งานศิลปะเด็กเล็กนั้น บางครั้งเขาก็ต้องการคำแนะนำบ้าง เช่นภาพนี้ แต่เดิม เด็กวาดตัวแสดงแต่ละตัว เท่าๆกัน เราอาจจะแนะนำให้เขาลดขนาดตัวที่ไม่สำคัญลง และที่สำคัญเพิ่มขนาดตัวเอก เพียงเท่านี้ก็ทำให้ภาพมีมิติ น่าสนใจ มีความตื่นเต้นมากขึ้น ตามความมากน้อย ของความแตกต่าง เช่น ขนาดที่ต่างกันมาก จะทำให้เกิดความตื่นเต้นมาก (เช่นเคย ขอยืมภาพวาดของน้องแฟร์มาเป็นวิทยาทานอีกครั้งค่ะ)

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข้อคิดจากศิลปิน





หลังจากได้โพสต์ภาพงานเด็กที่หอศิลป์ลงเป็นบันทึกประจำวันในเฟซบุ๊ค มีเพื่อนศิลปินชี้ให้ดูภาพสองภาพเปรียบเทียบกัน เนื่องจากเป็นภาพที่คล้ายคลึงกัน และบังเอิญเป็นงานของพี่น้องฝาแฝด ที่มาีร่วมเรียนในชั้นเดียวกัน โดยศิลปินท่านนี้มีความเห็นเกี่ยวกับภาพสองภาพนี้ว่า ภาพหนึ่ง มีทิศทางซึ่งมองไม่เห็น อันเกิดจากองค์ประกอบในภาพชี้ไปยังตัวประธานของเรื่อง (โดยเด็กวัยนี้ไม่น่าจะทำด้วยความจงใจ) นับว่าได้ผลตรงเป้าหมาย เพราะสื่อเนื้อหาของภาพ ส่วนอีกภาพที่คล้ายกัน กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น (ขออนุญาตนำภาพของน้องแฟร์และน้องพอร์ชมาเป็นตัวอย่างเพีื่อเป็นวิทยาทานด้วยนะคะ)

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การใช้สีของเด็ก


เด็กเล็ก ส่วนใหญ่จะไม่สนใจเรื่องระบายสีมากนัก เพราะเมื่อเขาวาดลายเส้นจนพอใจ เขาจะถือว่างานเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว การระบายสีจึงไม่จำเป็น ถ้าถูกขอร้องให้ระบาย (ตามความคิดของผู้ใหญ่-มันยังไม่เสร็จ) เขาจะรู้สึกว่ามันเป็นงานที่เกินมา
แต่ก็มีเด็กบางคน ค้นพบว่าการระบายสี ก็สนุกและสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง จึงสนใจการระบายสีมากเป็นพิเศษ ซึ่งมักเป็นส่วนน้อย เด็กจะไม่คิดอะไรมากกับการเลือกใช้สี เขาจะไม่คำนึงถึง ทฤษฎีสี น้ำหนักของสี หรือ การจัดวางสีใดๆ
แต่สิ่งที่เด็กไทยให้ความสำคัญมากคือการระบายสีให้ตรงกับสีจริงของสิ่งที่วาด เช่น เนื้อคนต้องเป็นสีเนื้อ หญ้าต้องเป็นสีเขียว ต้นไม้มีใบเขียว ลำต้นสีน้ำตาล พระอาทิตย์สีแดง จนเป็นสูตรสำเร็จ
จะมีเด็กน้อยคนมากที่จะระบายสีสิ่งต่างๆให้มีสีที่แตกต่างออกไป และยิ่งน้อยคนลงไปอีกที่รู้จักการจัดวางสีให้ดูมีลูกเล่น ในบรรดาเด็กเหล่านี้ จะเป็นเด็กที่ได้เล่นกับการใช้สีอย่างอิสระและเล่นจนเต็มอิ่ม จนก้าวข้ามเขตจำกัดที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง
ความน่ารักน่าดูในงานภาพสีของเด็ก มักเกิดขึ้นโดยบังเอิญขณะสร้างงาน เช่นทาสีพลาด ควบคุมมือไม่ได้ มีการเหลื่อมสีกันอย่างไม่จงใจ หรือ เกิดอุบัติเหตุขณะใช้สี แล้วแก้ไขไป เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลายเส้นของเด็ก


ลายเส้นของเด็ก เป็นการสื่อสารจินตนาการและประสบการณ์ที่มีอยู่ ผ่านทางมือ
ฉะนั้น ภาพที่เด็กทำออกมา อาจจะไม่ใช่ภาพที่เจ้าตัวต้องการก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทักษะของการใช้มือ และ การฝึกวาดภาพในรูปแบบที่ตนไม่เคยทำมาก่อน หากว่าเด็กมีฉันทะ ใจรักที่จะวาด การฝึกฝนจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เมื่อได้ฝึกมาก การใช้กล้ามเนื้อมือก็จะชำนาญมากเป็นเงาตามตัว
ประกอบกับการหาภาพใหม่ๆมาเป็นต้นแบบในการเรียนรู้ ก็จะเป็นการขยายคลังภาพของตน ให้สามารถนำมาใช้สื่อจินตนาการของตนได้มากขึ้น
ต้วอย่างเช่น ถ้าเด็ก ป.3 ต้องการวาดบ้านทรงไทย เพราะต้องการแต่งนิทานพื้นบ้านไทย แต่ไม่มีประสบการณ์วาดบ้านทรงไทยมาก่อน เพราะเคยแต่วาดบ้านรูปทรงง่ายๆแบบเดียวมาตั้งแต่จับดินสอวาด
ภาพของบ้านหลังนั้น จะผลุดขึ้นทันทีที่ต้องการวาดบ้าน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องการบ้านทรงไทย เด็กจะไม่สามารถวาดได้
จึงควรที่จะหาตัวอย่างบ้านทรงไทยง่่ายๆมาฝึกฝน
จากนั้นเด็กจะมีบ้านทรงไทยเพิ่มขึ้นในคลังภาพ (ในสมอง)ของเด็ก
สามารถนำมาใช้ได้ทุกครั้งที่ต้องการ

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 9

ยักษ์กับเมือง

เมื่อได้กลับมาถึงแผ่นดินใหญ่ องค์หญิงพบว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนไป บ้านเมืองเงียบผิดปกติ มีชาวเมืองบางส่วนที่หลบซ่อนอยู่ ออกมาบอกองค์หญิงว่า “จู่ๆ มียักษ์ตัวหนึ่ง โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ หน้าตาไม่น่ากลัว ใส่ชุดสีขาว แต่พวกเราไม่ไว้ใจ จึงหลบซ่อนตัว พอเห็นว่ามันไปแล้ว พวกเราจึงโผล่ออกมา เห็นว่ามันเอาวังขององค์หญิงไป”
องค์หญิงตกใจมาก ถามว่า “แล้วเสด็จพ่อ เสด็จแม่ของเราล่ะ”
“ข้าเกรงว่าจะถูกมันเอาไปด้วย” ชาวบ้านตอบ
“ทำยังไงดีล่ะ นายนิน” เด็กหญิงหันไปถามเด็กชายนิน
“ข้าจะให้ห่วงในถุงช่วย ดีไหมพะยะค่ะ” เด็กชายตอบ
“ดี ลองหาวิธีช่วยหน่อย” องค์หญิงขอร้อง ห่วงทุกอันที่มีอยู่ในถุงแปลงร่างเป็นคนต่อตัวกัน และก็สามารถวิ่งออกมาต่อกันได้เรื่อยๆไม่รู้จักจบ มันพุ่งตัวต่อกันไปเหมือนหางว่าว แล้วเลื้อยออกไปสู่เบื้องหน้าจนสุดขอบฟ้า องค์หญิงมองไม่เห็นตัวแรกเลย
ไม่นานพวกมันกลับมารายงานว่า พบพระราชวังและยักษ์อยู่ด้วยกันที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง ยักษ์กำลังหลับ องค์หญิงผู้กล้าหาญ ขอให้ห่วงพาไปพบ ห่วงจึงให้องค์หญิงขี่ไปตามสายที่ทอดตัวออกไป โดยมีเด็กชายนินตามไปด้วย เมื่อพบยักษ์ที่นอนอยู่ เด็กชายนิน จำได้ว่า เขาคือเทวดา องค์ที่มาเข้าฝันให้นำถุงมาให้องค์หญิงนั่นเอง
“ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้” เด็กชายถาม “เพราะข้าเบื่อ” เทวดาในร่างยักษ์ตอบ
“ข้าต้องการเล่นกับสิ่งเล็กๆดูบ้าง แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อแม่ขององค์หญิงท่านสบายดี ข้าเพียงแต่ไม่ต้องการกวนท่าน เลยยกท่านมาด้วย ...เจ้ามาดูนี่ซิ” แล้วเทวดาก็ชี้ชวนให้ดูเมืองน้อยๆที่เทวดาสร้างขึ้น จากการนำตึกจากที่ต่างๆมาเรียงกันจนเป็นเมืองๆหนึ่ง คล้ายกับการต่อเลโก้ของเด็กๆดูน่าอัศจรรย์ดี
องค์หญิงรีบวิ่งเข้าไปหาเสด็จพ่อเสด็จแม่ ส่วนเด็กชายนิน ได้แต่ยืนอ้อนวอนเทวดาให้เลิกเล่นเช่นนี้เสียที เทวดายังสนุกอยู่ ไม่ยอมฟังเด็กชายนิน องค์หญิงทรงขอร้องให้ห่วงที่แปลงร่างเป็นคน ต่อตัวกันให้องค์หญิงประทับนั่งที่คอและยกพระองค์สูงขึ้นไปจนอยูใกล้หน้าของเทวดายักษ์ เพื่อจะได้ขอร้องเทวดาได้ใกล้ชิดมากขึ้น ในที่สุด เมื่อเทวดาเห็นว่าองค์หญิงทรงมีความพยายามจึงยอมเลิกการเล่นต่อเมือง และแปลงร่างกลับเป็นปกติ
“ เราเลิกเล่นก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง”
“อะไรล่ะ” องค์หญิงถาม
“เจ้าทั้งสองต้องไปเล่นกับข้าที่บ้านต้นไม้ ณ น้ำตกบนเกาะ ทุกอาทิตย์”
“ถ้าอย่างนั้น ได้ซิ ได้แน่นอน จงทำให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะ”
“แต่ข้าว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว” เด็กชายนินตอบ
เพราะบ้านเมืองที่เทวดาสร้างขึ้นนั้น สวยงามมาก สมกับเป็นฝีมือเทวดาจริงๆ
ตั้งแต่นั้นมา องค์หญิงและเทวดาก็ไม่เบื่อชีวิตอีกต่อไป เพราะบ้านเมืองขององค์หญิงมีความงดงามมากขึ้น มีผู้คนจากที่ต่างๆพากันมาท่องเที่ยว ทำให้องค์หญิงได้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่ไม่ซ้ำหน้ากัน ส่วนเทวดา ก็ได้แต่เฝ้ารอคอยวันที่เด็กชายนินและองค์หญิงจะมาเล่นกับตนอย่างมีความสุข

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 8

เรือกับพายุ

วันนี้เป็นวันที่องค์หญิงต้องเดินทางกลับวัง ทรงเรือส่วนพระองค์พร้อมกับเด็กชายนิน แม่นม และถุงหลากสี กับข้าราชบริพารอีกสองสามคน
ขณะที่เรือแล่นอยู่กลางทะเล ได้เกิดมีลมพายุหมุนวน พัดเรือจนหมุนติ้ว อย่างแรง ถุงสีฟ้า กระเด็นตกลงไปสู่ก้นทะเล ห่วงต่างๆ ได้หลุดลอยน้ำออกมามากมาย บ้างก็กลายเป็นปลา บ้างก็กลายเป็นหอย ต่างตัวต่างมีลักษณะผิดแผกไปจากธรรมดา
เทวดารักษาน้ำ ได้ออกจากวังออกมาดู เห็นว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น จึงว่ายน้ำขึ้นโผล่อากาศดู เห็นแล้วว่าเรือน้อยขององค์หญิงกำลังจะแตกจมทะเลไป
เทวดาสงสาร จึงเสกปลาโลมายักษ์คู่หนึ่งตรงเข้าประคองเรือไว้ จากนั้นปลาโลมายักษ์ก็ว่ายน้ำพร้อมกันพุ่งไปยังแผ่นดินใหญ่
แต่ไม่ทันที่จะถึงแผ่นดิน องค์หญิงนึกได้ว่า ไม่มีใครไปงมเอาถุงสีฟ้าของพระองค์กลับมา ทรงกรรแสง คิดถึงถุงของพระองค์
ทำให้เด็กชายนินต้องหาทางช่วย เด็กชายกล่าวกับปลาโลมาว่า “ถ้าเจ้าตัวใดตัวหนึ่งพาเรือน้อยกลับแผ่นดินแล้วเจ้าอีกตัวหนึ่งพาข้าไปหาถุงวิเศษนั้น จะได้ไหม” ปลาโลมาทั้งสองผงกหัวหงึกๆ เป็นการตอบรับ
จากนั้น ตัวหนึ่งก็พาเรือกลับวัง อีกตัวหนึ่งไปกับเด็กชายนิน
เมื่อกลับสู่ตำแหน่งเดิมปรากฏว่าพายุยังคงมีกำลังอยู่ จึงพัดพาเด็กชายนินและปลาโลมาจมลงก้นทะเล ที่นั่นเองเด็กชายมองเห็นถุงและคว้าไว้ได้ แต่ปลายอีกข้างหนึ่งกลับมีตัวประหลาดหน้าตาคล้ายไดโนเสาร์คาบอยู่
“เจ้าจงปล่อยมันให้ข้าเถอะ องค์หญิงของข้ากำลังรออยู่อย่างโศกเศร้า”
“ไม่ได้ข้าต้องการนำมันไปให้กับเทวดาแห่งน้ำซึ่งเป็นนายของข้า ต้องใช้ถุงใบนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเก็บกวาดสัตว์ประหลาดที่ออกมาลอยเกลื่อนทะเลได้หมด”
“ตกลง งั้นข้าของตามเจ้าไปเก็บด้วย” แต่สัตว์ตัวนั้นยืนยันว่าถ้าจะตามไป เด็กชายนินต้องกลืนไข่มุกวิเศษเม็ดหนึ่งเข้าไปเสียก่อนเพื่อช่วยให้เขาหายใจใต้น้ำได้เหมือนอยู่บนบก เขายอมทำตามแต่โดยดี ไม่นานทั้งสามก็ช่วยกันเก็บสัตว์ต่างๆเหล่านั้นได้หมด และนำถุงกลับไปคืนองค์หญิงน้อยได้โดยสวัสดิภาพ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 7

ป่าประหลาด

วันต่อมา ทรงบรรทมอีก และฝันเห็นสัตว์ทุกตัวบนเกาะนี้ มีสีสันที่ไม่เหมือนจริง ทุกตัวมีหน้าตาคล้ายสัตว์ในโลกขององค์หญิง แต่สีและลวดลายฉูดฉาดมาก มีลายคล้ายผ้าทุกตัว เช่น ผ้าลายดอก ผ้าลายจุด ผ้าลายริ้ว ลายตารางต่างๆ ดูน่าประหลาดมาก
แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า ต่างมีลวดลายแปลกประหลาด คล้ายกับเอาผ้าหลากสีหลากลายมาประดิษฐ์ขึ้น
ในฝันนั้น พระองค์อยู่ตามลำพัง ไม่มีใครตามมาเลย ทรงเห็นแพนด้าตัวหนึ่งเดินผ่านไป ทรงวิ่งตามและตะโกนว่า “เดี๋ยวเจ้าแพนด้า หยุดก่อน” แพนด้าจึงหยุด
“ท่านเรียกข้าทำไม ในป่านี้ ไม่เคยมีใครรู้ว่าข้าเคยชื่อแพนด้ามาก่อน”
“ข้าเห็นว่าเจ้ามีสีเป็นปกติ เหมือนกับที่ข้าเคยเห็นที่บ้านข้า ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าจึงไม่เปลี่ยนสีและมีลวดลายเหมือนกับตัวอื่น”
“นั่นก็เพราะข้าถูกสาปนะซิ เลยไม่เหมือนคนอื่นเขา”
“เจ้าไปทำอะไรมา” องค์หญิงถาม
“ครั้งหนึ่ง มีการประกวดวาดรูปแข่งกัน ข้าไม่ได้เอาดินสอสีไป ข้าจึงวาดตัวเองด้วยสีดำสีเดียว เมื่อถึงตอนตัดสิน กรรมการโกรธมาก ทุกคนโกรธมาก ข้าเลยถูกสาปให้เป็นสีนี้ แต่ข้าชอบนะ มันไม่เหมือนใครเขาดี”
“แล้วเมื่อก่อนนี้ เจ้ามีสีอะไรล่ะ” องค์หญิงทรงอยากรู้
“ข้าไม่บอก เพราะข้าอยากจะลืมมัน” แพนด้าตอบอย่างไม่พอใจ “ข้าต้องรีบไปแล้ว มีธุระต้องทำ” พูดแล้วก็จะเดินหนีไป
“เดี๋ยวก่อน” องค์หญิงทรงร้องเรียก “ทำไมอีกเล่า” แพนด้าตอบ “ข้ากลับบ้านไม่ได้”
“เอ้า! ยุ่งจริง” แพนด้าไม่พอใจอีก แล้วก็ทำท่าเหมือนร่ายมนต์ จากนั้นก็ได้พรมวิเศษมาผืนหนึ่ง แพนด้าก็สะบัดพรมนั้นออกไป เป็นพรมสีดำสลับขาวทำหน้าที่เป็นทางเดินทอดยาวมาก และคดเคี้ยวจนมองไม่เห็นจุดจบ “เจ้าเดินไปตามทางนี้ เดี๋ยวก็ถึงเอง”
“ขอบคุณนะ แพนด้า” ตรัสแล้ว องค์หญิงทรงดำเนินไปเรื่อย ๆแต่ไม่พบจุดสิ้นสุดซักที
ทรงตื่นบรรทมเพราะสะดุดพรมที่ปูไว้ไม่ดี และก็พบว่าตัวเองอยู่ในบ้านต้นไม้เหมือนเดิม

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 6

ที่เกาะแห่งน้ำตก

ในวันหนึ่ง องค์หญิงอยากเห็นน้ำตกที่เด็กชายนินไปนำถุงมา และเยี่ยมบ้านบนต้นไม้ของเด็กชายนิน เลยทูลขอเสด็จพ่อ มาถึงบัดนี้ พระราชาเริ่มไม่ห่วงพระธิดาแล้ว จึงทรงอนุญาต
เมื่อทุกอย่างพร้อม องค์หญิงน้อยจึงออกเดินทางไปกับเด็กชายนิน ถุงสีฟ้า และคนอื่นๆอีกสองสามคน เมื่อไปถึงที่หมาย สิ่งแรกที่องค์หญิงทอดพระเนตรเห็นคือ บ้านบนต้นไม้ ซึ่งเด็กชายนินปลูกได้น่าอยู่มาก แม้จะดูเหมือนเป็นห้องนอนห้องเดียว แต่ก็ดูอบอุ่นสบาย เมื่อถามเด็กชายว่าได้เคยมาอยู่หรือยัง ได้คำตอบว่าเคยแล้ว และได้ฝันเห็นเทวดาบ่อยๆ
องค์หญิงอยากรู้เรื่องของเทวดาบ้าง และลองบรรทมที่นี่ดู เด็กชายจึงยกบ้านให้องค์หญิงใช้บรรทมพร้อมกับแม่นม ส่วนตัวเองก็ทำเพิงนอนบนดินใกล้ๆกัน
คืนนั้น องค์หญิงฝันว่า เทวดามาเยี่ยม แต่งตัวคล้ายคนธรรมดา แต่เป็นชุดสีขาวที่สุภาพมาก สวมรองเท้าขาว มีหน้าตาสะอาดหมดจดและผ่องใสมาก เข้ามาคุยด้วย และพาองค์หญิงลอยออกไปนอกบ้าน โดยที่แม่นมไม่ตื่นขึ้นมาเลย เทวดาพาองค์หญิงลอยตัวโบยบินชมไปทั่วบริเวณเกาะ ทำให้องค์หญิงทรงเห็นสิ่งแปลกประหลาดมากมาย เริ่มต้นองค์หญิงก็พบว่า นกที่นี่ไม่เหมือนนกที่ไหน เพราะมีหน้าตาคล้ายแมลงมาก น่าจะเป็นแมลงยักษ์ที่บินไปมามากกว่า
แม่น้ำก็เป็นสีเขียว ต้นไม้สีเหลือง ท้องฟ้าสีชมพู ส่วนพื้นแผ่นดินกลับเป็นสีม่วง ไม่เคยพบเคยเห็น น่าตื่นตาไม่น้อย องค์หญิงชมสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนสีไปอย่างเพลิดเพลินจนลืมไปว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้ตัวอีกทีเมื่อมายืนอยู่บนพื้นดินและรู้สึกหิว องค์หญิงมองหาเทวดาไม่พบ ท่านหายไปไหน แล้วตัวเองจะกลับอย่างไร
องค์หญิงตกใจมาก ทรงกรรแสงเสียงดัง ไม่นานรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดที่ขา มองไปเห็นมดขนาดใหญ่มากตัวหนึ่ง สีฟ้า ส่งเสียงเล็กๆว่า “ไม่ต้องห่วง พวกเราจะพาท่านกลับไปเอง หยุดร้องไห้ แล้วตามเรามา” แล้วองค์หญิงก็ทรงดำเนินไปตามทางที่มดสีฟ้าหลายตัวเดินเรียงกันไปเป็นทางยาว
สุดท้ายก็องค์หญิงก็ทรงพบบ้านบนต้นไม้ ทรงตื่นจากบรรทม แล้วจึงทรงรู้ว่าตนเองนั้นแค่ฝันไป

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 5

ฮิปโปกับหมู

ในวันฝนตก องค์หญิงไม่ได้ออกนอกวัง ถุงสีฟ้า ออกอาการดิ้นอีก
วันนี้มีฮิปโปตัวหนึ่งเดินออกมานอกถุงอย่างสง่าผ่าเผย ตามมาด้วยหมูสีชมพูสามตัว ขณะที่เดินเล่นในวังนั้น ก็ยักย้ายส่ายสะโพกกันไปมา ต่อมามีสัตว์อีกตัวเดินออกจากถุง ท่าทางน่ากลัวมาก เพราะมีนอโผล่ออกมาก่อน แรดนั่นเอง
องค์หญิงทรงตรัสว่า “พวกเจ้าทั้งหลาย มีขนาดที่ใหญ่โตมาก สมควรไปเดินเล่นในป่าให้สบายใจมากกว่า วังของเราดูจะเล็กเกินไปสำหรับพวกเจ้า
เด็กชายนิน ผู้ที่พระราชาทรงมอบหมายให้มาดูความเรียบร้อยของถุงสีฟ้าอาสาพาสัตว์ทุกตัวไปยังป่า หลังจากฝนหยุดตกแล้ว
ที่ในป่า แรดผู้ซึ่งมีสายตาสั้น ได้เที่ยวเดินชนสิ่งต่างๆจนมึนหัวไปหมด ทำให้เหล่าหมูหัวเราะออกมาเสียงดัง แรดโมโหมาก เอานอเกี่ยวหมูทั้งสามเหวี่ยงไปไกล จนหาไม่พบ ฮิปโปตำหนิแรดว่าทำไม่ถูก ต่างออกไปเดินหาหมูกัน
เดินไประยะหนึ่ง เด็กชายนินมองไม่เห็นหมูเลย เมื่อเดินไปได้อีกระยะหนึ่ง เขามองไม่เห็นฮิปโป และแรดด้วย
เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพบบ้านหลังหนึ่งตรงหน้า เขาเคาะประตูบ้าน มีหญิงคนหนึ่งหน้าตาใจดีออกมาต้อนรับ เมื่อถูกถามว่า เห็นหมูสามตัว ฮิปโปและแรดเดินผ่านมาแถวนี้ไหม ได้คำตอบว่า “ อ้อ เขาก็อยู่แถวๆนี้แหละ เพียงแต่ว่า เขาหิวกัน ฉันจึงเอาขนมวิเศษให้เขากิน”
“ขนมวิเศษเป็นอย่างไร” เด็กชายนินถาม
“ขนมนี้ทำให้คนกินอิ่มง่าย เมื่ออิ่มแล้ว เขาอาจจะกลายเป็นสิ่งอื่นที่คล้ายกับตัวเขา แต่ไม่ใช่เขาคนเดิม” หญิงคนนั้นตอบ “หนูลองหาๆดูซิจ้ะ คงพบไม่ยาก”
เด็กชายนินเดินลัดเลาะออกไปไกลอีกหน่อย เขามองเห็นต้นไม้ประหลาด ออกผลเพียงสามผล แถมยังมีสีชมพูอีกด้วย เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จึงเห็นว่า เป็นหมูสามตัวนั่นเอง เขานำกลับมาให้หญิงเจ้าของบ้านดูและถามว่าต้องทำอย่างไรให้หมูกลับมาเป็นอย่างเดิม หญิงคนนั้นบอกว่า ต้องให้เขาหิวอีกครั้งจึงจะเป็นอย่างเดิมได้ ดังนั้น เด็กชายนินผู้ชาญฉลาดก็ฝากผลไม้หมูไว้ที่หญิงคนนั้น และขอยืมรถเข็นเพื่อออกตามหาสัตว์ที่เหลืออีกสองตัว
ไม่นานเขาก็กลับมา พร้อมกับก้อนหินสองก้อนที่เขาพบ ก้อนหนึ่งพบใกล้สระน้ำ มีตัวเป็นสีมรกต ส่วนอีกก้อนหนึ่งพบที่ทราย เป็นสีเทา นั่นก็คือฮิปโปกับแรดนั่นเอง เขาลาหญิงไปพร้อมกับรถเข็นหินและผลไม้สามผลในย่าม โดยสัญญาว่าจะนำรถเข็นมาคืนในวันรุ่งขึ้น
เมื่อมาถึงวัง องค์หญิงน้อยเห็นของประหลาดทั้งหมดและฟังเรื่องเล่าของเด็กชายนิน ทรงขบขันมาก ทรงกล่าวว่า “ไม่น่าตะกละเลยพวกเจ้า”
ตกตอนเย็น สัตว์ทั้งสามชนิด กลับคืนร่างเดิมและเดินกลับเข้าถุงสีฟ้าไป

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 4


ยีราฟสองพี่น้อง

เย็นวันหนึ่งขณะที่องค์หญิงน้อยกำลังเสวยไอศกรีมรสช็อกโกเลตชิฟหลังพระกระยาหารกลางวันกับพระราชบิดาและพระราชมารดา ถุงสีฟ้าที่วงอยู่ใกล้ตัวองค์หญิง มีอาการประหลาด มันยืดตัวขึ้นสูง เหมือนพยายามจะดันอะไรบางอย่างออกมา และไม่ทันที่องค์หญิงของเราจะเอื้อมพระหัตถ์ออกเปิดดู ก็มียีราฟน้อยสองตัวโผล่ออกมา ทั้งสองมีสีขาวตลอดลำตัว แต่ว่าตัวหนึ่งมีลายสีฟ้า อีกตัวหนึ่งมีลายสีส้ม
“เราทั้งสองเป็นพี่น้องกัน” ยีราฟตัวหนึ่งพูดขึ้น
“เราเป็นพี่” ยีราฟลายสีฟ้าพูดขึ้น
“และแน่นอน เราเป็นน้อง” ยีราฟลายสีส้มพูดเสริม
“พวกเราขอออกไปเดินเล่นที่สวนของพระองค์สักหน่อย เรารู้สึกว่าเราอยู่ในถุงอุดอู้มานาน ทุกท่านเชิญรับประทานอาหารอย่างสำราญต่อไปเถอะ”
ว่าแล้วทั้งสองก็เดินออกไปเล่นในสวนอย่างมีความสุข 2 นาทีต่อมา ถุงสีฟ้าขยับตัวอีกครั้ง ทีนี้มันหมุนติ้วเป็นวงกลมอยู่นาน แล้วลิงตัวหนึ่งก็โผล่ออกมา ยังไม่ทันที่ใครจะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ลิงตัวนั้นก็กระโจนหนีหายเข้าไปในสวนเสียแล้ว
หลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จ องค์หญิงน้อย ทรงเข้าไปตามยีราฟสองพี่น้องและลิงตัวนั้น แล้วก็พบว่าลิงกำลังขี่คอตัวยีราฟตัวน้องออกชมทัศนียภาพต่างๆรอบๆสวน และยังร้องเสียงดังด้วยความสนุกสนานตื่นเต้น
องค์หญิงถามลิงว่า “ ภาพที่เห็นนั้นสวยไหม” ลิงตอบว่า “สวยพะยะค่ะ”
“ข้าอยากเห็นอย่างที่เจ้าเห็นบ้าง” องค์หญิงเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นรอประเดี๋ยว” ลิงตอบ “ข้าพระองค์จะให้เจ้ายีราฟตัวพี่ก้มลงไปรับองค์หญิง” จากนั้นยีราฟลายสีฟ้าก็ก้มหัวลงช้าๆ พร้อมให้สัญญานกับองค์หญิงว่าให้ปืนขึ้นมาเกาะคอมันได้
“ว้าว ทัศนียภาพสวยจริงๆ ข้าไม่เคยรู้เลยว่า รอบๆวังของข้าจะสวยเช่นนี้” จากนั้น ทั้งสี่ ก็สนุกสนานเพลิดเพลินกับการเดินเล่นในสวนอย่างไม่รู้เบื่อ อากาศก็เป็นใจไม่ร้อน มีเมฆบังแสงอาทิตย์ไปตลอดทั้งทาง เดินกันไปมากๆก็ไม่รู้ตัวว่าได้เดินลึกเข้าไปในป่าเสียแล้ว
องค์หญิงมองเห็นช้างสีชมพูตัวหนึ่งเดินผ่านมา “ท่านเห็นเพื่อนของข้าไหม” ช้างถาม “ไม่เห็น” องค์หญิงตอบ “เพื่อนเจ้ามีหน้าตาอย่างไรล่ะ”
ช้างเล่าว่า เพื่อนของมันตัวเล็กมาก ชอบหายตัวเป็นประจำ ตัวสีเขียว ปกติจะหาพบได้ตามใบไม้ทั่วไป เพราะไม่ทำอะไรมากเอาแต่กินใบไม้ แต่ตอนนี้หายไม่เจอซะแล้ว
ทันใดนั้น องค์หญิงทรงได้ยินเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งพูดว่า “ฉันอยู่นี่ๆ” กว่าพระองค์จะรู้ว่าเสียงนั้นมาจากมงกุฎของพระองค์ก็กินเวลานานพอดู เมื่อพระองค์จับออกมาดู ทอดพระเนตรเห็น หนอนสีเขียวตัวหนึ่ง เกลี้ยงเกลาหมดจดมาก “นี่เหรอเพื่อนของเจ้า” พระองค์ทรงถามช้าง “ใช่พะยะค่ะ” ช้างตอบ
“งั้นเจ้าก็พามันกลับไปได้” ทรงยื่นหนอนให้กับช้าง ช้างชูงวงออกรับด้วยความดีใจ “เจ้าไปอยู่บนมงกุฎขององค์หญิงน้อยได้อย่างไรกัน” ช้างถาม
“ข้าก็ไม่รู้ เมื่อข้ากินอิ่ม ข้าก็ทอใยและห้อยหัวลงมาจากใบไม้ใบหนึ่งของต้นไม้ใหญ่ พอรู้ตัวอีกที ข้าก็มาอยู่ที่นี่” พูดจบ ทุกคนต่างเข้าใจเหตุการณ์โดยตลอดว่าเกิดอะไรขึ้น
ช้างกล่าวลาองค์หญิงน้อยและกลับเข้าป่าลึกไป ส่วนองค์หญิงก็ทรงสามารถหาทางกลับวังของพระองค์ได้ไม่ยาก โดยใช้ความสูงของยีราฟให้เป็นประโยชน์
วันนี้พระองค์เรียนรู้ว่า ทุกคนสามารถเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ว่าจะมีขนาดหรือสีสันแตกต่างกันเพียงใด ขอให้มีความรักความและความห่วงใยต่อกันอย่างจริงใจเท่านั้นก็พอ

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 3


สุนัขและแมว

เช้าวันนี้ องค์หญิงน้อยตื่นบรรทมแต่เช้า ยังไม่ทันเสวยพระกระยาหารเช้า ก็ทรงนึกว่าถุงสีฟ้า จะแสดงอะไรให้ดูได้อีกนะ
ทรงเดินไปที่ตู้เก็บถุงและหยิบถุงขึ้นมา ถุงขยับตัวได้เหมือนเคย วันนี้ถุงสังเกตเห็นว่าพระองค์ทรงสวมชุดบรรทมเป็นลายดอกไม้สีเหลือง ไม่นานห่วง 4 อันก็กระเด็นออกมาจากถุง และ แปลงร่างเป็น สุนัข 1 ตัว แมวอีก 1ตัว
สุนัขนั้นมีตัวสีขาว ลายจุด หูสั้น ส่วนแมวเป็นแมวพิเศษ ในยามปกติมันจะมีตัวสีเหลือง แต่เมื่อยามมันต้องการอำพรางตัว มันสามารถเปลี่ยนสีเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ เมื่อสุนัขมองเห็นแมว มันก็วิ่งไล่กันออกไปที่สวนทันที
องค์หญิงเห็นดังนั้นก็ทรงแปลกพระทัย ถุงสีฟ้าอธิบายว่า การที่วันนี้ห่วงแปลงร่างเป็นสุนัขและแมวนั้น ก็เพราะมันเห็นดอกไม้ที่อยู่ในชุดบรรทมของพระองค์ และมันทั้งสองจะต้องออกวิ่งไล่กันในสวนหรือป่าที่ใดที่หนึ่งเสมอ
องค์หญิงน้อย จึงทรงเสด็จตามไปดูอย่างเงียบๆ เจ้าสุนัข วิ่งไล่แมวไม่นานก็ต้องหยุด เนื่องจากมองไม่เห็นแมว แมวนั้น เมื่อหลบแนบกับต้นไม้ ก็มีสีเหมือนลำต้นที่มันแนบอยู่ เมื่อวิ่งเข้าสุมทุมพุ่มไม้ ก็มีสีเขียวเหมือนใบไม้ หรือหากว่าใบเป็นสีแดง มันก็สามารถเปลี่ยนสีตัวเป็นสีแดงได้ เมื่อสุนัขใกล้เข้ามา แมวจะรีบกระโจนย้ายที่หลบซ่อนทันที ทำให้สุนัขทั้งเหนื่อยทั้งสนุกกับการตามล่าแมว เล่นกันอยู่อย่างนี้ไม่นาน แมวก็ร้องขึ้นว่า “หยุดก่อน ! เจ้าสุนัข เจ้ามาดูอะไรทางนี้ซิ” สุนัขรีบรุดไปดูยังที่ๆแมวชี้ เห็นว่ามีกล่องอยู่หนึ่งใบ สีน้ำตาล ทั้งสองพยายามเปิดออกดู ก็ต้องตกใจ เมื่อมีนกสีรุ้ง บินพรวดออกมาจากกล่อง แล้วตรงขึ้นเกาะกิ่งไม้ใกล้ๆ
“ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่ปล่อยข้าให้เป็นอิสระ” พูดจบยังไม่ทันบินไปไหน องค์หญิงน้อยก็พูดขึ้นว่า “มาอยู่กับข้าเถอะ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี” แต่นกก็ไม่สนใจทำท่าจะบินหนีไป ทันใดนั้น แมวก็กระโจนขึ้นจับนกไว้
“ปล่อยข้าเถอะ ข้าถูกกักขังมานานมากแล้ว ข้ายังต้องบินหาญาติของข้าที่ถูกกักขังหลายตัวอยู่รอบบริเวณนี้” นกพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราทั้งหมดจะช่วยเจ้าหา แต่ต้องสัญญาว่า พวกเจ้าจะกลับมาให้ความสำราญกับองค์หญิงน้อยของเราเนืองๆนะ และเราสัญญาว่าจะไม่กักขังพวกเจ้าด้วย” แมวพูด องค์หญิงน้อยและสุนัขต่างพยักหน้ารับ
“ตกลง” นกพูด จากนั้น ทุกคนต่างเดินมองหาตามที่ต่างๆ พบกล่องอีกหลายใบที่ขังนกไว้ ทุกตัวได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
วันนั้นเป็นวันที่องค์หญิงน้อยมีความสุขมาก เพราะได้ช่วยชีวิตเพื่อนร่วมโลก พระองค์เริ่มค้นพบแล้วว่า การช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่ช่วยพระองค์ให้ไม่เหงาและไม่เบื่อได้

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 2


องค์หญิงน้อยทรงแปลกพระทัย

เช้าวันต่อมา เด็กชายนิน ได้ขอให้พระราชาทรงให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาทำตามคำขอของถุงสีฟ้า
แล้วในบรรยากาศที่มีเพียง พระราชา องค์หญิงน้อย และ เด็กชายนิน ยามเช้าในห้องพักผ่อนส่วนพระองค์
ถุงสีฟ้าและบรรดาห่วงต่างๆ พลันมีชีวิตขึ้นมา ต่างออกมาเต้นรำ ทำท่าทางต่างๆให้องค์หญิงน้อยและพระราชาได้ทอดพระเนตร
เป็นที่อัศจรรย์ใจทั้งสองพระองค์เป็นอย่างมาก สีพระพักตร์ขององค์หญิง ก็เปลี่ยนเป็นแจ่มใสเบิกบานขึ้นมาทันตา
ห่วงน้อยใหญ่ต่างทำท่าทางตลกๆให้องค์หญิงทอดพระเนตร องค์หญิงทรงสรวล และพระราชาก็พระราชทานรางวัลใหกับเด็กชายนินตามสัญญา เป็นเงินทองจำนวนมากจนเด็กชายนินและแม่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เงินจำนวนหนึ่งเด็กชายนินได้นำไปสร้างบ้านหลังหนึ่งบนต้นไม้ใหญ่ ใกล้กับน้ำตกที่เขาพบถุงสีฟ้า
ด้วยว่าเขากำลังกังวลใจอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นมา องค์หญิงทรงเล่นกับห่วงในถุงสีฟ้าทุกวัน เพราะไม่เพียงแต่ห่วงจะทำท่าทางต่างๆได้เท่านั้น
มันยังสามารถแปลงกายเป็นสิ่งต่างๆได้อีกด้วยขึ้นอยู่กับว่ามันอยู่ในบรรยากาศแบบไหน
นอกจากนั้น มันยังเนรมิตให้การเล่าเรื่องต่างๆของมันสมจริงราวกับเราเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนั้นได้ด้วย
อย่างเช่นวันนี้ พวกห่วงหลายอัน พากันออกมาต่อตัวเป็นคนหลายๆคน มีแขนขาและหน้าตา
ต่างแสดงออกทางใบหน้าไม่เหมือนกัน บ้างก็ยิ้มหยอก บ้างก็โกรธตอบ บ้างก็ทำท่าเศร้าโศก เหมือนกับเจอเรื่องร้าย
ทำให้องค์หญิงน้อยทรงเห็นเป็นเรื่องตลกขำขันมาก เพราะไม่เคยทอดพระเนตรมาก่อน
หนำซ้ำยังกระโดดโลดเต้นทำท่าทางทะเล้น ทั้งวิ่งทั้งนั่ง ทั้งโบกไม้โบกมือกันเป็นพัลวัน
สร้างความครึกครื้นให้องค์หญิงน้อยอย่างไม่รู้เบื่อเลย

นิทานหอศิลป์ 54 เรื่องที่ 1


องค์หญิงน้อยต้องการเพื่อน

ณ อาณาจักรเมื่ยงคำ พระราชาทรงมีพระธิดานามว่า "องค์หญิงน้อย" พระองค์ไม่ทรงไปโรงเรียน เพราะพระราชาจ้างครูมาสอนที่พระราชวัง ทำให้องค์หญิงน้อยทรงเบื่อชีวิตมาก เพราะไม่ได้ออกไปพบโลกกว้าง ไม่นาน ความเบื่อกลายเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ร้อนถึงพระราชา ไม่ว่าจะทรงหาอะไรมาทำให้องค์หญิงเพลิดเพลิน ก็ไม่มีสิ่งใดเยียวยาองค์หญิงได้
วันหนึ่งทรงป่าวประกาศว่า ผู้ใดที่ช่วยให้องค์หญิงมีความสุขได้ จะให้รางวัลผู้นั้นอย่างงาม
แล้วก็มีเด็กชายนามว่า "นิน" อาสาช่วยองค์หญิง เพราะเขาได้ฝันว่า ที่เกาะแห่งหนึ่ง มีถุงผ้าใบใหญ่ ซ่อนตัวอยู่หลังน้ำตกที่ไหลเชี่ยว ถุงผ้าใบนี้จะเป็นคำตอบให้กับองค์หญิง
พระราชาทรงพระสรวล เพราะไม่คิดว่าจะช่วยได้ แต่ก็ต้องยอมแพ้ให้กับความมุ่งมั่นของเด็กชายนิน
หลังจากหายไปหนึ่งอาทิตย์ เด็กชายนินได้นำถุงผ้าใบใหญ่กลับมา มันเป็นถุงสีฟ้า ลักษณะธรรมดามาก องค์หญิงทรงเปิดออกดูด้วยความตื่นเต้น แต่ก็ไม่พบอะไร นอกจากห่วงกลมๆหลายขนาด ซึ่งไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร ลองมาเล่นด้วยวิธีต่างๆ ก็ไม่ทำให้หายเบื่อ จึงทรงทิ้งไปด้วยความผิดหวัง พระราชากริ้วมาก สั่งให้ทหารจับเด็กชายไปขัง พร้อมกับถุงใบนั้น
ตกกลางคืน ในห้องขังนั้นเอง เด็กชายอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น พลันได้ยินเสียงหนึ่งจากใกล้ๆตัว กระซิบว่า "อย่าหมดหวัง มองไปที่ถุงซิ"
เมื่อมองไปที่ถุง เด็กชายพบว่าถุงใบนั้นกำลังขยับไปมา ไม่ช้าห่วงต่างๆก็พากันออกมากระโดดโลดเต้น อย่างสนุกสนาน ราวกับว่ามีเพลงบรรเลงอยู่โดยรอบ ถุงใบนั้นพูดขึ้นว่า "พวกเราไม่ใช่ของธรรมดา เทวดานำเรามาซ่อนไว้ เพื่อท่านจะได้เอาออกมาเล่นยามที่ท่านเบื่อสวรรค์แล้วร่อนลงมาเยี่ยมโลกมนุษย์"
"ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกท่านไม่แสดงให้องค์หญิงดูในบ่ายวันนี้เล่า" เด็กชายนินถามขึ้น
"พวกเราต้องอยู่ในสถานการณ์พิเศษ" ถุงสีฟ้าตอบ
"สถานการณ์พิเศษอย่างไร"
"พวกเราจะสัมผัสได้กับอารมณ์ความเชื่อและสิ่งที่มองไม่เห็นต่างๆ หากเห็นว่าทุกอย่างพร้อม พวกเราจึงออกมามีชีวิตได้"